พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4173/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ศาลวินิจฉัยว่าการฟ้องคดีใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้คดีก่อนมีการสืบพยานแล้ว แต่ศาลยกฟ้องเนื่องจากขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันนี้ครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าว.ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโจทก์ในคดีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้คดีก่อนจะมีการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีจนเสร็จการพิจารณาแล้วก็ตามแต่ศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องยังไม่พอรับฟัง โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ทั้งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้ก็ต่างกันการที่โจทก์มาฟ้องใหม่ในเรื่องเดียวกันนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4173/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการต่อสู้ในคดีนอกคำให้การ และการฟ้องซ้ำที่มิได้มีประเด็นข้อเท็จจริงเดียวกัน
ปัญหาว่า ว.กรรมการบริษัทโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความหรือไม่ จำเลยที่ 3 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การฎีกาของจำเลยที่ 3 ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นนอกเหนือจากคำให้การ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่พอรับฟังว่า ว.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโจทก์ในคดีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้คดีก่อนศาลจะสืบพยานในประเด็นแห่งคดีจนเสร็จการพิจารณาแล้ว แต่ศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องยังไม่พอรับฟังโดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ทั้งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้ก็ต่างกัน การที่โจทก์มาฟ้องใหม่ในเรื่องเดียวกันนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4026/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำประเด็นเดิม: ห้ามฟ้องคดีที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้ว
โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิและเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ทั้งสอง และฟ้องของโจทก์มีประเด็นอย่างเดียวกับที่ผู้เยาว์ทั้งสองโดยมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองเคยยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23203/2529 ของศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและเพิกถอนการยึดที่ดินของผู้เยาว์ทั้งสอง ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคดีดังกล่าวให้ยกคำร้องของผู้เยาว์ทั้งสองและคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ถือได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีและประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องภาระจำยอมหลังคดีเช่าถึงที่สุด ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เหตุต่างกันในมูลฐาน
เดิมโจทก์และนาง ล. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน ต่อมาได้แบ่งแยกเป็นสองโฉนด มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ล้ำเข้าไปในที่ดินของนาง ล. ต่อมานาง ล.ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้นาย ฮ. นาย ฮ.ได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินที่รุกล้ำ โจทก์ยอมรับว่าที่ดินเป็นของนาย ฮ. ตกลงเช่าที่ดินพิพาทเป็นเวลา 5 ปี แต่ไม่จดทะเบียนการเช่า เมื่อนาย ฮ.ตายที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยทางมรดก จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าไม่จดทะเบียนมีผลเพียง 3 ปี ในคดีดังกล่าวโจทก์อุทธรณ์ฎีกาคัดค้านเฉพาะประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าบังคับกันได้ 3 ปีหรือ 5 ปี คดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าบังคับได้ 3 ปี พ้นกำหนดแล้ว ให้โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารโดยสุจริต และได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภาระจำยอม ข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์คดีนี้มุ่งไปที่เรื่องปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตและได้ภาระจำยอมโดยโจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนและมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจึงเป็นคนละเหตุกับคดีก่อนซึ่งเป็นเรื่องเช่าทรัพย์ และกรณีนี้มิใช่เรื่องที่เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันหรือติดต่อกันจากเรื่องเช่าทรัพย์ซึ่งโจทก์ต้องยกขึ้นอ้างหรือต่อสู้เสียในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอภารจำยอมไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากข้ออ้างต่างจากคดีเช่าเดิม แม้มีประเด็นที่ดินทับซ้อน
ในคดีก่อนที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์นั้นศาลพิพากษาวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยส่วนที่อาคารโจทก์ปลูกรุกล้ำโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่าจึงมีผลใช้บังคับได้เพียง3 ปี และพ้นกำหนด 3 ปี แล้ว โจทก์จึงต้องออกจากที่ดินพิพาทแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าโจทก์ได้ปลูกสร้างอาคารพิพาทโดยสุจริตและได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภารจำยอม ข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามฟ้องโจทก์มุ่งไปที่เรื่องการสร้างโรงเรือนลุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต และได้ภารจำยอมโดยโจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนและมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงเป็นคนละเหตุกับคดีก่อนซึ่งเป็นเรื่องเช่าทรัพย์และกรณีนี้ มิใช่เรื่องที่เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันหรือติดต่อกันมาจากเรื่องเช่าทรัพย์ซึ่งโจทก์จะต้องยกขึ้นอ้างหรือต่อสู้เสียในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3552/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับสิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนพินัยกรรมที่จำเลยอ้างว่ามารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยยกทรัพย์มรดกทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเพียงผู้เดียวโดยระบุว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ต่อมาโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันความว่า จำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปขอรับโอนที่ดินพิพาท และให้โจทก์ทั้งสองกับ พ. มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายในฐานะทายาทบนที่ดินเหมือนเดิมทุกประการ ส่วนที่ดินอีกแปลงหนึ่งที่จำเลยรับโอนไปแล้วจะแบ่งเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กันให้โจทก์ทั้งสองและ พ. มีกรรมสิทธิ์รวม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาพร้อมทั้งเก็บดอกผลบนที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและให้จำเลยใช้เงินดอกผลส่วนของโจทก์ทั้งสองกับให้แบ่งผลประโยชน์ที่เกิดบนที่ดินพิพาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุดแก่โจทก์ทั้งสอง ดังนั้นประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีนี้จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน อันจะเป็นการฟ้องซ้ำและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องเป็นคดีต่างหาก ไม่จำต้องยื่นคำร้องขอเข้าไปในคดีเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การซื้อขายฝากและโมฆะสัญญาที่ดิน - จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน
ในคดีก่อนจำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้ออกจากที่พิพาท จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ให้การต่อสู้คดีโดยยกเหตุผลอย่างเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้ ในที่สุดคู่ความได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์คดีนี้ยอมซื้อที่พิพาทคืนจากจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วย ฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: การเลิกจ้างเนื่องจากอายุครบเกษียณ แม้จะอ้างเหตุไม่เป็นธรรมก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนในคดีก่อนและฟ้องโจทก์ทั้งสามในคดีนี้ตรงกันว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในคราวเดียวกันทั้งอ้างเหตุที่จำเลยเลิกจ้างว่าโจทก์ทั้งสาม อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์อย่างเดียวกัน แต่ฟ้องของโจทก์ทั้งสามในคดีนี้กล่าวอ้างเหตุเพิ่มว่า โจทก์ทั้งสามยังไม่เกษียณอายุ จำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยในการทำงานกำหนดว่า พนักงานโรงงานเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นเหตุที่จำเลยเลิกจ้างในคดีนี้เมื่อโจทก์ทั้งสาม มีอายุครบ 55 ปี ซึ่งเป็นการเกษียณอายุ ประเด็นคดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากล่าวกันมาแล้ว ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ามีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยในคราวเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ทั้งสามคดีนี้ที่อ้างเหตุต่าง ๆ เพิ่มก็ไม่ทำให้มีประเด็นหรือเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: การเลิกจ้างเนื่องจากเกษียณอายุ แม้จะอ้างเหตุอื่นเพิ่ม ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ทั้งสามในคดีนี้ตรงกันว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในคราวเดียวกัน ทั้งอ้างเหตุที่จำเลยเลิกจ้างว่าโจทก์ทั้งสามอายุครบ55 ปีบริบูรณ์อย่างเดียวกัน แต่ฟ้องของโจทก์ทั้งสามในคดีนี้กล่าวอ้างเหตุเพิ่มว่าโจทก์ทั้งสามยังไม่เกษียณอายุ จำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 1 ในคดีก่อนว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยในการทำงานกำหนดว่าพนักงานโรงงานเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นเหตุที่จำเลยเลิกจ้างในคดีนี้ก็เพราะโจทก์ทั้งสามมีอายุครบ 55 ปีซึ่งเกษียณอายุนั่นเอง ประเด็นคดีนี้จึงประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากล่าวกันมาแล้วซึ่งมีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยในคราวเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ทั้งสามคดีนี้ที่อ้างเหตุต่าง ๆ เพิ่ม ก็ไม่ทำให้มีประเด็นเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีเดิมด้วยเหตุและเอกสารหลักฐานชุดเดียวกัน ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดง คดีถึงที่สุดโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่ฟ้องในคดีก่อน จึงเป็นการฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ.