คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ยึดทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 784 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ร่วมสามีภริยาจากการลงทุนประกอบอาชีพ: ยึดทรัพย์สินใช้หนี้ได้ แม้เป็นสินสมรสหรือสินเดิม
กู้เงินมาลงทุนเพื่อประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว จึงเป็นหนี้ร่วมของจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน. สวนพิพาทไม่ว่าจะเป็นสินสมรสหรือสินเดิม. จึงเป็นสินบริคณห์ที่โจทก์นำยึดใช้หนี้ได้ทั้งสิ้น.
โจทก์มิใช่อิสลามศาสนิก. จะบังคับคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีฯลฯ พ.ศ.2489มาตรา 3 มิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเฉลี่ยของเจ้าพนักงานภาษีอากรที่ยึดทรัพย์ก่อนการบังคับคดีตามคำพิพากษา
ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อำนาจข้าหลวงประจำจังหวัดหรือนายอำเภอโดยเฉพาะที่จะสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง จึงเห็นได้ว่าสำหรับค่าภาษีอากรค้างกฎหมายให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บเองตลอดถึงการยึดทรัพย์ได้ด้วย โดยไม่จำต้องนำคดีฟ้องศาลก่อน เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าพนักงานมีสิทธิที่จะบังคับเหนือทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย ทั้งก็เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ก่อน แต่ยังไม่ทันได้ขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไปยึดทรัพย์รายเดียวกันนี้ตามคำสั่งศาลอีก ดังนี้ ผู้ร้องซึ่งมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอเฉลี่ยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เพราะผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย (ประชุมใหญ่ ครั้ง ที่ 30/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเฉลี่ยทรัพย์สินของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจยึดทรัพย์ภาษีอากรค้าง ก่อนการยึดทรัพย์โดยเจ้าพนักงานบังคับคดี
ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อำนาจข้าหลวงประจำจังหวัดหรือนายอำเภอโดยเฉพาะที่จะสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง. จึงเห็นได้ว่าสำหรับค่าภาษีอากรค้างกฎหมายให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บเองตลอดถึงการยึดทรัพย์ได้ด้วย. โดยไม่จำต้องนำคดีฟ้องศาลก่อน.เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าพนักงานมีสิทธิที่จะบังคับเหนือทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย ทั้งก็เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ก่อน. แต่ยังไม่ทันได้ขายทอดตลาด.เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไปยึดทรัพย์รายเดียวกันนี้ตามคำสั่งศาลอีก. ดังนี้ ผู้ร้องซึ่งมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอเฉลี่ยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา287. เพราะผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย.(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 30/2512).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานในการยึดทรัพย์ภาษีค้างชำระ vs. สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้รายอื่น และการแบ่งมรดก
ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อำนาจข้าหลวงประจำจังหวัดหรือนายอำเภอโดยเฉพาะที่จะสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง จึงเห็นได้ว่าสำหรับค่าภาษีอากรค้าง กฎหมายให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บเองตลอดถึงการยึดทรัพย์ได้ด้วย โดยไม่จำต้องนำคดีฟ้องศาลก่อน เมื่อผู้ร้องซึงเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าพนักงานมีสิทธิที่จะบังคับเหนือทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย ทั้งก็เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ก่อน แต่ยังไม่ทันได้ขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไปยึดทรัพย์รายเดียวกันนี้ตามคำสั่งศาลอีก ดังนี้ ผู้ร้องซึ่งมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอเฉลี่ยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีความแพ่ง มาตรา 278 เพราะผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 30/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์และขายทอดตลาด: ศาลฎีกาเน้นข้อเท็จจริงจากการสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเท่านั้น มิอาจวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงนอกประเด็น
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้.โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) นั้น. จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ. ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็น.ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ หรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง. ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามบทมาตราดังกล่าวมิได้.เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา. ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2492).
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยละเมิด. ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่า ในการยึดที่ดินนั้น เจ้าพนักงานที่ดินมิได้นำเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมาด้วย. ถึงหากจะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304. อันเป็นบทกฎหมายที่ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดจะต้องนำสืบ เพราะไม่มีใครกล่าวอ้าง. ย่อมเป็นข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87. ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) หาได้ไม่.
โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้มีการยึดไว้โดยชอบแล้ว หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่. ผู้ซื้อที่ดินที่ถูกยึดโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ไม่จำต้องคืนที่ดินให้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ถูกยึดในคดีอื่น ย่อมทำได้หากผู้ซื้อต้องรื้อถอนอยู่ดี
กรณีที่ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น แม้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจะถูกยึดไว้ในคดีอื่นเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ ก็ยังถือไม่ได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้กระทำได้ เพราะหากจะมีการขาดทอดตลาดบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้าง ผู้ซื้อได้ก็จะต้องรื้อถอนออกไปเช่นเดียวกัน ดังนั้น โจทก์จะเข้ารื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยตามคำสั่งศาล(โดยเรียกค่าใช้จ่ายเอาจากจำเลย) แล้วเอาทรัพย์สิ่งของที่รื้อถอนมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ต่อไปก็ย่อมทำได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ถูกยึดในคดีอื่น ย่อมทำได้หากผู้ซื้อต้องรื้อถอนอยู่ดี
กรณีที่ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น แม้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจะถูกยึดไว้ในคดีอื่นเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ ก็ยังถือไม่ได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้กระทำได้ เพราะหากจะมีการขายทอดตลาดบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้าง ผู้ซื้อได้ก็จะต้องรื้อถอนออกไปเช่นเดียวกัน ดังนั้น โจทก์จะเข้ารื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยตามคำสั่งศาล(โดยเรียกค่าใช้จ่ายเอาจากจำเลย) แล้วเอาทรัพย์สิ่งของที่รื้อถอนมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ต่อไปก็ย่อมทำได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ถูกยึดในคดีอื่น ย่อมทำได้หากผู้ซื้อต้องรื้อถอนอยู่ดี
กรณีที่ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น. แม้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจะถูกยึดไว้ในคดีอื่นเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่เจ้าหนี้. ก็ยังถือไม่ได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้กระทำได้. เพราะหากจะมีการขายทอดตลาดบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้าง. ผู้ซื้อได้ก็จะต้องรื้อถอนออกไปเช่นเดียวกัน. ดังนั้น โจทก์จะเข้ารื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยตามคำสั่งศาล(โดยเรียกค่าใช้จ่ายเอาจากจำเลย). แล้วเอาทรัพย์สิ่งของที่รื้อถอนมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ต่อไปก็ย่อมทำได้โดยชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเช่าซื้อ: ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีหน้าที่แจ้งผู้ค้ำประกันก่อนยึดทรัพย์ และผู้ค้ำประกันไม่หลุดพ้นความรับผิด
ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ ไม่ได้กำหนดว่า เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ หรือเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเลิกสัญญายึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อจะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบก่อน ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบ
ฎีกาซึ่งมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อ: ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีหน้าที่แจ้งการยึดทรัพย์ให้ผู้ค้ำประกันทราบ หากสัญญาไม่มีข้อกำหนด
ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ ไม่ได้กำหนดว่า เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ หรือเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเลิกสัญญายึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อจะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบก่อนผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบ
ฎีกาซึ่งมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
of 79