คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หมิ่นประมาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 856 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทบุพการีเป็นเหตุฟ้องหย่า และหลักการแบ่งสินสมรสเมื่อมีหนี้ร่วม
จำเลยด่าโจทก์และมารดาโจทก์ว่ามารดาโจทก์เป็นคนดอกทองและโจทก์เป็นลูกคนดอกทอง มารดาโจทก์จะชักชวนให้โจทก์ไปเป็นคนดอกทอง ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493ได้นิยามคำว่า 'ดอกทอง' ไว้ว่า หมายถึงหญิงใจง่ายในทางประเวณี คำด่าดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการด่ามารดาโจทก์เป็นหญิงใจง่าย ในทางประเวณีและมารดาโจทก์จะชักชวนให้โจทก์ไปเป็นหญิงใจง่าย ในทางประเวณี อันเป็นการหมิ่นประมาทมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 บัญญัติว่าในระหว่างสามีภริยาให้แบ่งความรับผิดในหนี้ที่จะต้องรับผิดด้วยกัน ตามส่วนที่จะได้สินสมรสนั้น เป็นเพียงบทบัญญัติยกเว้นของ มาตรา 296 ที่ให้ลูกหนี้ร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นเท่านั้น ส่วนการที่จะให้สามีภริยารับผิดในหนี้ร่วมต่อกันตามมาตรา 1518 นั้น จะต้องรับผิดต่อเมื่อสามีหรือภริยาได้ชำระหนี้ร่วมให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้ว หากฝ่ายที่ ชำระหนี้ร่วมให้แก่เจ้าหนี้ไปเกินส่วนที่ตนได้สินสมรสไปเท่าใด ก็มีสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งชดใช้ ให้ มิใช่ว่าเมื่อมีหนี้ร่วม หากสามีหรือภริยาฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส ถ้ามีเหตุหย่า และต้องแบ่งสินสมรสแล้วจะต้องหักหนี้ร่วมออกจากสินสมรส ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเก็บรักษาไว้เพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ก่อนจึงจะ แบ่งสินสมรสส่วนที่เหลือกัน จำเลยจะขอหักหนี้ดังกล่าวออกเพื่อ จำเลยจะนำไปชำระให้แก่เจ้าหนี้ก่อนแล้วจึงแบ่งสินสมรสกันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาต่างตอบแทน, การยกทรัพย์สิน, เหตุหย่าจากการทำร้ายร่างกายและหมิ่นประมาท, กรรมสิทธิ์ในเรือน
จำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 3 ได้สู่ขอโจทก์ให้เป็นภรรยาจำเลยที่ 3 ในการสู่ขอนั้นจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ได้ตกลงจะยกที่นา 10 ไร่ให้โจทก์ เป็นการตอบแทนการที่โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยที่ 3 จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งใช้บังคับกันได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 295/2491)
หลังจากโจทก์กับจำเลยที่ 3 สมรสกันแล้ว จำเลยที่1 กับที่ 2 ได้ปลูกเรือนพิพาทโดยเจตนาจะยกให้โจทก์กับจำเลยที่ 3 แต่มิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ยกให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เรือนพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 กับที่ 2 อยู่
จำเลยที่ 3 ด่าโจทก์และมารดาโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายเตะและตบทำร้ายร่างกายโจทก์ หมิ่นประมาทโจทก์ว่ามีชู้บุตรที่เกิดก็ว่าเกิดกับชู้ หมิ่นประมาทมารดาโจทก์ว่าเป็นหญิงสำส่อนให้ชาวบ้านร่วมประเวณี อันเป็นการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาต่างตอบแทนในการสู่ขอ, การโอนกรรมสิทธิ์เรือน, เหตุหย่าจากการหมิ่นประมาทและการทำร้ายร่างกาย
จำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 3 ได้สู่ขอโจทก์ให้เป็นภรรยาจำเลยที่ 3 ในการสู่ขอนั้นจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ได้ตกลงจะยกที่นา 10 ไร่ให้โจทก์ เป็นการตอบแทนการที่โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยที่ 3 จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งใช้บังคับกันได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 295/2491)
หลังจากโจทก์กับจำเลยที่ 3 สมรสกันแล้ว จำเลยที่1 กับที่ 2 ได้ปลูกเรือนพิพาทโดยเจตนาจะยกให้โจทก์กับจำเลยที่ 3 แต่มิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ยกให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เรือนพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 กับที่ 2 อยู่
จำเลยที่ 3 ด่าโจทก์และมารดาโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายเตะและตบทำร้ายร่างกายโจทก์ หมิ่นประมาทโจทก์ว่ามีชู้บุตรที่เกิดก็ว่าเกิดกับชู้ หมิ่นประมาทมารดาโจทก์ว่าเป็นหญิงสำส่อนให้ชาวบ้านร่วมประเวณี อันเป็นการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความผิดหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และอำนาจฟ้องในคดีอาญา
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่าง ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย เป็นแต่กล่าวว่าอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความผิดฐานหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และการแจ้งความเท็จต่อศาล
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่างๆระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหายเป็นแต่กล่าวว่า อาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใส่ความทำให้เสียชื่อเสียง แม้ไม่มีมูลความจริง แต่มีเจตนาประจาน ย่อมเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยพูดกับบุคคลที่สามกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกับพวกลักเป็ดของจำเลยไปแกงกิน โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะดำเนินคดีเอาความต่อโจทก์ร่วมกับพวกได้ คำพูดของจำเลยจึงไม่มีมูลความจริง แต่จำเลยกล่าวยืนยันประจานให้บุคคลอื่นหลงเชื่อเป็นความจริงว่าโจทก์ร่วมกับพวกลักเป็ดของจำเลยย่อมเป็นการใส่ความทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง รังเกียจต่อความประพฤติอันเสื่อมเสียของโจทก์ร่วมได้ จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใส่ความทำให้เสียชื่อเสียง แม้ไม่มีหลักฐาน แต่มีเจตนาประจานให้ผู้อื่นเชื่อถือเป็นความจริง มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยพูดกับบุคคลที่สามกล่าวหาว่าโจทก์ร่วม กับพวกลักเป็ดของจำเลยไปแกงกิน.โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะดำเนินคดีเอาความต่อโจทก์ร่วมกับพวกได้ คำพูดของจำเลยจึงไม่มีมูลความจริง แต่จำเลยกล่าวยืนยันประจานให้บุคคลอื่นหลงเชื่อเป็นความจริงว่าโจทก์ร่วมกับพวกลักเป็ดของจำเลยย่อมเป็นการใส่ความทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง รังเกียจต่อความประพฤติอันเสื่อมเสียของโจทก์ร่วมได้ จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งข่าวข้อเท็จจริงที่สืบได้โดยสุจริตเพื่อป้องกันผลประโยชน์ของสมาชิกสหกรณ์ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์และเป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อสหกรณ์โดยมีสมาชิกเป็นกรรมการอีก 11 คน จำเลยที่ 1เป็นสมาชิกสหกรณ์ และเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ จำเลยทั้งสองได้แจ้งข่าวและพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า "ได้มีเจ้าของที่ดินแปลงใกล้เคียงเสนอขายสหกรณ์ในราคาถูกกว่านี้ แต่กรรมการไม่ยอมรับซื้อกลับไปซื้อที่ดินราคา 7 หมื่นบาท ซึ่งแพงกว่าแปลงอื่น ๆ มากการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เจ้าของที่ดินได้รับเงินจริง ๆ ไปเพียง 4 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนอีก 3 หมื่นไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือใครขณะนี้สมาชิกกำลังแยกย้ายกันหาหลักฐานการทุจริตครั้งนี้เพื่อเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป" ดังนี้เป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้ว่า กรรมการผู้จัดซื้อที่ดินให้สหกรณ์ทุกคนหรือคนใดคนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด ทุจริตในการซื้อขายที่ดินนั้น แต่จำเลยทั้งสองให้ข่าวและพิมพ์โฆษณาข้อความดังกล่าวเพราะมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินแพงกว่าปกติส่อไปในทางทุจริตถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) และไม่เป็นการละเมิด ที่โจทก์จะขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมอีกด้วย
ในคดีอาญา จำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย โดยไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในข้อเท็จจริง ที่จำเลยจะนำสืบพยานต่อไปได้ (อ้างฎีกาที่ 2823,2824/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเผยแพร่ข้อความต่อสาธารณชนโดยสุจริตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตนเองและสหกรณ์ ไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์และเป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อสหกรณ์ โดยมีสมาชิกเป็นกรรมการอีก 11 คน จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสหกรณ์ และเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ จำเลยทั้งสองได้แจ้งข่าวและพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า "ได้มีเจ้าของที่ดินแปลงใกล้เคียงเสนอขายสหกรณ์ในราคาถูกกว่านี้ แต่กรรมการไม่ยอมรับซื้อกลับไปซื้อที่ดินราคา 7 หมื่นบาท ซึ่งแพงกว่าแปลงอื่นๆ มาก การซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เจ้าของที่ดินได้รับเงินจริงๆ ไปเพียง 4 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนอีก 3 หมื่นไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือใคร ขณะนี้สมาชิกกำลังแยกย้ายกันหาหลักฐานการทุจริตครั้งนี้ เพื่อเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป" ดังนี้เป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้ว่า กรรมการผู้จัดซื้อที่ดินให้สหกรณ์ทุกคนหรือคนใดคนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด ทุจริตในการซื้อขายที่ดินนั้น แต่จำเลยทั้งสองให้ข่าวและพิมพ์โฆษณาข้อความดังกล่าวเพราะมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ส่อไปในทางทุจริต.ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) และไม่เป็นการละเมิด ที่โจทก์จะขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมอีกด้วย
ในคดีอาญา จำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย โดยไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในข้อเท็จจริง ที่จำเลยจะนำสืบพยานต่อไปได้ (อ้างฎีกาที่ 2823,2824/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีหมิ่นประมาท: สิทธิจำเลยในการสืบพยานโต้แย้ง แม้จำเลยรับข้อเท็จจริงบางส่วน ศาลต้องให้โอกาสจำเลยสืบพยาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเทศมนตรี จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ตอบกระทู้ของสมาชิกสภาจังหวัดโดยทำเป็นบันทึกอัดโรเนียวแจกสมาชิกสภาจังหวัดใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328. จำเลยให้การปฏิเสธและว่าการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมายโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจำเลยก็มีสิทธินำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยมิได้กระทำผิด แม้จำเลยจะได้แถลงรับรองความถูกต้องของสำเนาบันทึกท้ายฟ้องว่าเป็นเอกสารที่จำเลยได้พิมพ์แจก และแถลงว่าข้อความในบันทึกนั้น จำเลยได้กล่าวถึงโจทก์ในขณะปฏิบัติการในฐานะเทศมนตรี ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยรับสารภาพ แม้ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์ก็ยังต้องให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ก่อนจึงจะชอบที่ศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษา ไม่ได้ให้จำเลยนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
of 86