พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7480/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีขาดนัดและการวินิจฉัยอำนาจฟ้องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
มูลคดีเดียวกัน จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและศาลได้พิพากษาขับไล่โจทก์แล้ว แม้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องคำพิพากษาในคดีขาดนัดและมีการขอให้พิจารณาใหม่ แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วจึงมีผลผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง
ในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลย เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย เมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไป โจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ ดังนี้แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกัน ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้ จึงชอบแล้ว
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลย เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย เมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไป โจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ ดังนี้แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกัน ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้ จึงชอบแล้ว
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7480/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อนหน้า & อำนาจฟ้องในคดีแพ่ง
มูลคดีเดียวกันจำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและศาลได้พิพากษาขับไล่โจทก์แล้วแม้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องคำพิพากษาในคดีขาดนัดและมีการขอให้พิจารณาใหม่แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วจึงมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่ง ในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลยเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอนที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา492จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยเมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไปโจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาทจำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ดังนี้แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่องแต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกันดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้จึงชอบแล้ว เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7448/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิเรียกร้องกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์หลังมีคำพิพากษาในคดีขับไล่ การฟ้องร้องซ้ำไม่ขัดกฎหมาย
คดีเดิมมีประเด็นว่าผู้คัดค้านทั้งสองฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ร้องได้หรือไม่แม้ผู้ร้องจะให้การสู้คดีว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตามแต่เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55โดยอาศัยข้อวินิจฉัยจากผลของคำพิพากษาในคดีก่อนขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองเพื่อจะได้นำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินมิใช่กรณีที่มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันคดีของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีซ้ำ vs. ประเด็นผูกพัน: ศาลพิจารณาประเด็นละเมิดซ้ำจากคดีเดิมที่พิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยคำพิพากษาเดิมผูกพันโจทก์
คดีก่อน จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ในคดีนี้ กล่าวอ้างว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยจำเลยไม่ได้กระทำผิด แม้โจทก์จะให้การต่อสู้คดีในคดีนั้นว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะโจทก์เลิกจ้างจำเลยเนื่องจากจำเลยกระทำผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์หายไป5,621,315.14 บาท ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนก็มีเพียงว่าจำเลยฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ได้ดังฟ้องของจำเลยเพียงใดหรือไม่ แต่ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปให้โจทก์เพียงใดหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้ โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไป 5,621,315.14 บาท คดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ดังฟ้องโจทก์เพียงใดหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อน คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน แต่เนื่องจากในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาอันถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์ในคดีนี้ได้เลิกจ้างจำเลยในคดีนี้โดยจำเลยไม่ได้กระทำความผิด จำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปดังที่โจทก์ให้การต่อสู้คดีในคดีก่อนคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ในคดีนี้ว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไป โจทก์จึงกลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้สินค้าโจทก์สูญหายไปไม่ได้ ทั้งนี้ ตามนัยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคแรก ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงาน-และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาถึงผู้รับโอนสิทธิ และการครอบครองปรปักษ์หลังมีคำพิพากษา
โจทก์เคยถูกมารดาจำเลยฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาท และคดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่ แม้จำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว เมื่อจำเลยได้ที่พิพาทจากมารดา การที่โจทก์ฟ้องคดีใหม่ว่าครอบครองปรปักษ์ในที่พิพาทมาโดยตลอด แต่โจทก์มิได้ตั้งรูปเรื่องเข้ามาใหม่ว่าเป็นการได้กรรมสิทธิ์มาภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วอย่างไร แม้จำเลยคดีนี้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทสืบต่อจากผู้ชนะคดีตามคำพิพากษา จึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ในคดีนี้ต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีเดิมด้วย และโจทก์ก็ไม่ได้เป็นบุคคลภายนอกคดีที่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
ศาลอุทธรณ์สั่งเฉพาะค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทนจำเลยส่วนค่าใบแต่งทนายความเข้ามาใหม่มิได้วินิจฉัยถึง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา161 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ใช้ค่าธรรมเนียมอื่นด้วย
ศาลอุทธรณ์สั่งเฉพาะค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทนจำเลยส่วนค่าใบแต่งทนายความเข้ามาใหม่มิได้วินิจฉัยถึง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา161 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ใช้ค่าธรรมเนียมอื่นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน: สิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สิน, อายุความ, และผลผูกพันคำพิพากษา
คดีก่อนอัยการเป็นโจทก์ฟ้องเพื่อประโยชน์ของจำเลยตามป.พ.พ. มาตรา 1562 อันเป็นการฟ้องแทนจำเลยซึ่งห้ามมิให้ฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นบุพการี คำพิพากษาศาลฎีกาในกรณีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคแรก ที่พิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ เมื่อประเด็นพิพาทในคดีนี้มีเพียงว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเท่านั้น คดีก็ไม่ต้องสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยอีกต่อไป
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งแปลง แต่ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมแทนโจทก์ด้วย และขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ถือกรรมสิทธิ์รวมออกจากโฉนด จึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความไม่อยู่ในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 193/30 และไม่พ้นอายุความห้ามมิให้ฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 240 ซึ่งใช้เฉพาะสำหรับกรณีฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตามป.พ.พ. มาตรา 237 เท่านั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งแปลง แต่ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมแทนโจทก์ด้วย และขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ถือกรรมสิทธิ์รวมออกจากโฉนด จึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความไม่อยู่ในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 193/30 และไม่พ้นอายุความห้ามมิให้ฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 240 ซึ่งใช้เฉพาะสำหรับกรณีฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตามป.พ.พ. มาตรา 237 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: ผลผูกพันคำพิพากษาเดิม & สิทธิติดตามคืนทรัพย์สิน
พนักงานอัยการเคยฟ้องโจทก์ผู้เป็นมารดาจำเลยในเรื่องขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งเป็นการฟ้องแทนจำเลยเพราะจำเลยต้องห้ามฟ้องบุพการีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์คำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกเมื่อประเด็นพิพาทในคดีนี้มีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคดีจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไป โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งแปลงโดยให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมแทนด้วยขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่พิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336เป็นกรณีไม่มีอายุความและหาใช่เป็นการฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา240ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องจากการถูกแย่งการครอบครอง: สิทธิจากการพิพากษาศาลต่างจากสิทธิเรียกร้องโดยตรง
สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 168 (เดิม) นั้นหมายถึงสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลเท่านั้น มิได้หมายถึงการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอื่นที่พิพากษาให้โจทก์ (จำเลยคดีนี้) ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย (โจทก์คดีนี้) เกินกว่า 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง พิพากษายกฟ้อง ไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์คดีนี้ กรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ.มาตรา 168 (เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า: สิทธิเรียกร้องเกิดจากคำพิพากษาชั้นที่สุดไม่ใช่การครอบครอง
สิทธิเรียกร้องซึ่งมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา168(เดิม)หมายถึงสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลมิได้หมายถึงการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามมาตรา1375 คดีก่อนที่ศาลตัดสินว่าโจทก์(จำเลยคดีนี้)ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองพิพากษายกฟ้องไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์เมื่อโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองโจทก์จะต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินกำหนดเวลาดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครอง: สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาต่างจากสิทธิเรียกร้องเพื่อเอาคืนการครอบครอง
สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลให้มีกำหนดอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา168(เดิม)นั้นหมายถึงสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลเท่านั้นมิได้หมายถึงการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายใน1ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอื่นที่พิพากษาให้โจทก์(จำเลยคดีนี้)ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย(โจทก์คดีนี้)เกินกว่า1ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองพิพากษายกฟ้องไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์คดีนี้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา168(เดิม)