คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ดุลพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 923 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์จากความล่าช้าในการส่งสำเนาอุทธรณ์และการใช้ดุลพินิจของศาล
การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนดโดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป มิได้ติดต่อกับศาลเป็นเวลา 2 เดือนเศษ โดยมีข้ออ้างเพียงว่าทนายโจทก์ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปหลายคดี ประกอบกับความพลั้งเผลอ ย่อมเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ซึ่งศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และเหตุผลที่ศาลใช้ดุลพินิจในการจำหน่ายคดี
การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่ารับอุทธรณ์สำเนาให้จำเลยโดยให้โจทก์นำส่งภายใน 10 วัน นั้นเป็นกรณีที่ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ดำเนินการ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2)ถ้าโจทก์เพิกเฉยให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง และมาตรา 246 ให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ในชั้นอุทธรณ์ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4672/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจศาลในการบังคับรื้อถอนอาคารผิดกฎหมาย และความรับผิดของผู้ก่อสร้าง
บทบัญญัติตามมาตรา 42 วรรคสามแห่ง พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯมิได้บังคับเป็นการเด็ดขาดว่า ศาลจะต้องให้เจ้าของอาคารร่วมรับผิดในการรื้อถอนเสมอไปแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจตามควรแก่กรณีว่าสมควรจะให้ผู้ใดเป็นผู้รับผิดในการรื้อถอน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารมิได้ยินยอมอนุญาตให้มีการปลูกสร้างอาคารโรงจอดรถที่ต้องถูกรื้อถอน ทั้งเป็นผู้มาแจ้งให้เจ้าพนักงานทราบถึงการปลูกสร้างที่ผิดแบบ จึงไม่สมควรให้จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในการรื้อถอนด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการปลูกสร้างอาคารดังกล่าวต้องรับผิดในการรื้อถอน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะในคดีระหว่างพี่น้องที่เป็นคู่ความฝ่ายตรงข้าม ศาลมีดุลพินิจไม่อนุญาตได้
จำเลยมรณะในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องกัน การอนุญาตให้บุคคลเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 43 นั้น ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควรทั้งศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ สำหรับกรณีนี้โจทก์และจำเลยเป็นคู่ความฝ่ายตรงข้ามกันและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากยอมให้โจทก์เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย โจทก์ย่อมจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาทุกขั้นตอนให้เป็นคุณแก่โจทก์ ซึ่งขัดต่อความประสงค์ของจำเลยผู้มรณะอย่างเห็นได้ชัด ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ: ศาลมีดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์
การอนุญาตให้บุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนผู้มรณะตาม ป.วิ.พ.มาตรา 43 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควร โดยศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ แม้โจทก์จำเลยจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เป็นคู่ความฝ่ายตรงกันข้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากยอมให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลย โจทก์ย่อมต้องดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นคุณแก่โจทก์ อันเป็นการขัดต่อความประสงค์ของจำเลยผู้มรณะอย่างเห็นได้ชัด ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ: ศาลมีดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสมและความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์
การอนุญาตให้บุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควร โดยศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ แม้โจทก์จำเลยจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เป็นคู่ความฝ่ายตรงกันข้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากยอมให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลย โจทก์ย่อมต้องดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นคุณแก่โจทก์ อันเป็นการขัดต่อความประสงค์ของจำเลยผู้มรณะอย่างเห็นได้ชัด ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ: ศาลมีอำนาจพิจารณาตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มรณะและคู่ความ
จำเลยมรณะในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องกัน การอนุญาตให้บุคคลเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 43 นั้นศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควรทั้งศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ สำหรับกรณีนี้โจทก์และจำเลยเป็นคู่ความฝ่ายตรงข้ามกันและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หากยอมให้โจทก์เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย โจทก์ย่อมจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาทุกขั้นตอนให้เป็นคุณแก่โจทก์ ซึ่งขัดต่อความประสงค์ของจำเลยผู้มรณะอย่างเห็นได้ชัด ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะจึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล, การปรับบทกฎหมาย, และข้อจำกัดในการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงและดุลพินิจ
พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยในข้อหาว่าร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ซึ่งเป็นคดีเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา พนักงานสอบสวนจึงไม่จำต้องผัดฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัดจึงชอบแล้ว แม้ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 อันเป็นบทเบากว่าและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงก็ตาม เพราะเป็นกรณีที่ศาลลงโทษโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ซึ่งศาลมีอำนาจกระทำได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอัตรายแก่กายตามมาตรา 295 ก็เป็นการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั่นเอง ซึ่งเป็นบทเบากว่า ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ หาเกินคำขอไม่
ข้อเท็จจริงที่ว่าการสอบสวนล่าช้าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างโดยวิธีจับสลาก: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวิธีจับสลากเพื่อคัดเลือกพนักงานที่ต้องพ้นหน้าที่ไป มิใช่เนื่องจากมีพนักงานมากเกินความจำเป็น แต่มีสาเหตุเนื่องจากจำเลยไม่พอใจสามีโจทก์ที่เป็นที่ปรึกษาสหภาพแรงงานปากกาไพล๊อต จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยอุทธรณ์ว่า ในการวินิจฉัยประเด็นว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น ศาลจะต้องพิจารณาตามข้อต่อสู้ของจำเลยก่อนว่ามีเหตุผลในการเลิกจ้างโจทก์อย่างไรหรือไม่ แต่ศาลแรงงานกลางกลับวินิจฉัยข้อกล่าวอ้างของโจทก์ก่อน และวินิจฉัยแต่เพียงคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานเอกสารของโจทก์เท่านั้น ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยว่า การจับสลากนั้นจำเลยใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์อย่างไรหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ขัดต่อข้อเท็จจริง และเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ปรากฏจากคำเบิกความของพยานฝ่ายใด และปรากฏจากคำเบิกความของพยานจำเลยว่า จำเลยมีความจำเป็นต้องนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ ข้อเท็จจริงจึงสรุปได้เป็นยุติว่า จำเลยจำเป็นต้นลดจำนวนพนักงานในหน่วยงานที่โจทก์ทำงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ด้วยวิธีจับสลากนั้น อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำคุกหรือปรับในความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน ศาลมีดุลพินิจลงโทษจำคุกได้ แม้กฎหมายบัญญัติโทษทั้งจำคุกและปรับ
คำว่าอีกโสดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติการพนัน มาตรา 12 ข้อ 1และปรับด้วยพระราชบัญญัติการพนันไม่มีบทมาตราใดที่บัญญัติไว้มีความหมายว่า อีกสถานหนึ่ง เท่ากับกฎหมายบัญญัติให้ลงโทษจำคุกไม่ให้ศาลใช้ดุลพินิจที่จะวางโทษจำคุกสถานเดียวในเมื่อพระราชบัญญัตินั้นวางกำหนดโทษผู้กระทำความผิดทั้งจำคุกและปรับเมื่อไม่มีกฎหมายห้ามศาลย่อมอาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20ประกอบมาตรา 17 ซึ่งบัญญัติว่าบรรดาความผิดที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยนั้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะลงแต่โทษจำคุกก็ได้ การที่ศาลลงโทษจำคุกจำเลยแต่สถานเดียวจึงชอบแล้ว
of 93