คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บุกรุก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 787 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2153/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าไปในบ้านเพื่อพูดคุยเรื่องเงินงานศพ ไม่ถือเป็นการบุกรุก หากยินดีออกจากบ้านเมื่อถูกขอ
จำเลยทั้งสองเป็นพี่สาวร่วมบิดามารดากับโจทก์ร่วม บ้านอยู่ใกล้เคียงกัน ได้เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมเพื่อพูดกันเรื่องเงินช่วยงานศพมารดา แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าไปถึงห้องนอน ส่วนจำเลยที่ 2 อยู่ที่บันได แต่เมื่อโจทก์ร่วมบอกให้ออกไปจากบ้าน จำเลยทั้งสองก็ปฏิบัติตามด้วยดี พฤติการณ์เพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประกันภัยโจรกรรมที่เกิดจากการบุกรุกโดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรง
ผู้เอาประกันได้ปิดร้านที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันไว้ มีประตูเหล็กปิดกั้นใส่กุญแจแล้วเอาโซ่ล่ามใส่กุญแจอีกชั้นหนึ่ง คนร้ายได้เปิดประตูเหล็กเข้าไปลักทรัพย์ดังกล่าวในร้านโดยโซ่และกุญแจหายไปด้วย ดังนี้ถือได้ว่าคนร้ายเข้าไปโดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่คนร้ายบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์สถานที่โดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงแล้ว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประกันภัยโจรกรรม: การใช้กำลังและความรุนแรงในการบุกรุก
ผู้เอาประกันภัยได้ปิดร้านค้าที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ มีประตูเหล็กปิดกั้นใส่กุญแจแล้วเอาโซ่ล่ามใส่กุญแจอีกชั้นหนึ่ง คนร้ายได้เปิดประตูเหล็กเข้าไปลักทรัพย์ดังกล่าวในร้านโดยโซ่และกุญแจหายไปด้วย ดังนี้ถือได้ว่าคนร้ายเข้าไปโดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งระบุให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่คนร้ายบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์ในสถานที่โดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงแล้ว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1971/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกโดยการข่มขู่และร้องด่า: การกระทำเข้าข่มขู่เพื่อให้เปิดหน้าต่าง ถือเป็นบุกรุก
ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติเคยไปมาหาสู่กัน จำเลยไปร้องด่าว่าผู้เสียหายที่ถนน แล้วขึ้นบันไดไปร้องด่าผู้เสียหาย ขู่เข็ญให้เปิดหน้าต่างบ้านนั้น จำเลยมีความผิดฐานบุกรุกตามมาตรา 365

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกและละเมิดจากการรับจ้างทำของ: ความรับผิดนอกฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างทำของ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้าง จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุก จำเลยที่ 1 ตัดต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ตามคำสั่งจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหาย พิจารณาได้ความว่าคนงานของจำเลยที่ 1 ทำละเมิด เป็นเรื่องนอกฟ้องต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: คดีบุกรุกทำลายทรัพย์สินบนที่ดิน
คำฟ้องว่าจำเลยนำคนงานลูกจ้างบุกรุกเข้ามาโค่นตัดฟันต้นผลอาสิน ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย และห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องรบกวนสิทธิครอบครองทำความเสียหายแก่โจทก์ต่อไปเช่นนี้เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์เหล่านั้นต้องอยู่ในเขตศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายหลังคดีแพ่งถึงที่สุด ผลต่อความผิดฐานบุกรุก
บิดาจำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้ออกจากที่ดินศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2514โจทก์ร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องและสั่งว่า ถ้าโจทก์ประสงค์จะอุทธรณ์ ให้นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 20 วันนับแต่วันอ่านคำสั่งคือวันที่ 31 มีนาคม 2515 โจทก์ไม่นำค่าธรรมเนียมมาวาง คดีแพ่งจึงถึงที่สุดในวันที่ 20 เมษายน 2515 ตามมาตรา 147 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหาใช่ถึงที่สุดในวันที่ 13 ตุลาคม 2514 ไม่
แม้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้โจทก์ออกจากที่พิพาทภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในคำบังคับคือภายในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2514 ก็ตามแต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับด้วยและศาลอุทธรณ์ยังสั่งคำร้องไม่ได้ เพราะโจทก์ยังไม่เสียค่าธรรมเนียมอุทธรณ์จนกระทั่งคดีถึงที่สุด จึงต้องถือว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2514 ซึ่งเป็นวันที่คดีถึงที่สุดเป็นการครอบครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 หาใช่เป็นการครอบครองโดยละเมิดไม่
เมื่อจำเลยที่ 1 ได้กระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ภายในวันที่ 20 เมษายน 2515 อันเป็นวันสุดท้ายที่ถือว่าโจทก์ครอบครองห้องพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของบิดาจำเลยโดยชอบ คดีโจทก์จึงมีมูลในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
จำเลยที่ 3 กล่าวแก่บุตรของบริวารโจทก์ว่า ออกไปเสียเถอะหนู อยู่ไปจะลำบากดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจฟ้องกรณีบุกรุกได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินและ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
กระทรวงศึกษาธิการซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษาแล้วมอบให้โรงเรียนประชาบาลใช้ประโยชน์อัน ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน กระทรวงการคลังได้ทำการรังวัดสำรวจขึ้นทะเบียนเป็นที่หลวง แต่ไม่ปรากฏว่าได้ขึ้นทะเบียนอะไรไว้คงขึ้นทะเบียนเป็นพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ของแผนกศึกษาธิการอำเภอซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการเนื้อที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลังจึงไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่มีอำนาจฟ้องผู้อยู่ในที่ดินนั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มีคำสั่งมอบหมายให้จังหวัดเทศบาล และสุขาภิบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดินภายในเขตของตน ตามคำสั่งที่ 890/2498 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้ว ฉะนั้น จังหวัดเทศบาลและสุขาภิบาลย่อมมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินภายในเขตของตน อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้เป็นราชการแผ่นดินอย่างหนึ่งย่อมอยู่ในความรับผิดชอบและควบคุมดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินและควบคุมดูแลราชการบริหารส่วนท้องถิ่นในจังหวัดตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ เมื่อมีบุคคลใดบุกรุกหรือเข้าครอบครองที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันของจังหวัดเทศบาลหรือสุขาภิบาลในจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่บุคคลนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกสถานที่ราชการ: การตีความ 'ไม่มีเหตุอันสมควร' จากคำบรรยายฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการในเวลากลางคืน โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรแม้ข้อที่ว่าโดยไม่มีเหตุสมควรนั้นเป็นองค์ประกอบความผิดของมาตรา 364 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ก็เป็นองค์ประกอบความผิดสำหรับการกระทำโดยการเข้าไปหรือซ่อนตัวเท่านั้น และคำว่า "บังอาจบุกรุก" ที่โจทก์บรรยายฟ้องมา ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากนี้โจทก์ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปด้วยว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้จำเลยเข้าไปได้ไล่ให้ออกจำเลยก็ไม่ยอมออกไปเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงตรงกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364ในตอนที่ว่า "หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก" และการไม่ยอมออกนี้ หาจำต้องกล่าวในฟ้องว่ากระทำโดยไม่มีเหตุอันสมควรด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกสถานที่ราชการ: คำว่า 'บังอาจบุกรุก' แสดงถึงเจตนา 'ไม่มีเหตุอันสมควร' ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการในเวลากลางคืน โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรแม้ข้อที่ว่าโดยไม่มีเหตุสมควรนั้นเป็นองค์ประกอบความผิดของมาตรา 364 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ก็เป็นองค์ประกอบความผิดสำหรับการกระทำโดยการเข้าไป หรือซ่อนตัวเท่านั้น และคำว่า 'บังอาจบุกรุก' ที่โจทก์บรรยายฟ้องมา ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากนี้โจทก์ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปด้วยว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้จำเลยเข้าไปได้ไล่ให้ออกจำเลยก็ไม่ยอมออกไปเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงตรงกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364ในตอนที่ว่า 'หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก' และการไม่ยอมออกนี้ หาจำต้องกล่าวในฟ้องว่ากระทำโดยไม่มีเหตุอันสมควรด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
of 79