พบผลลัพธ์ทั้งหมด 823 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เช่าในการฟ้องขับไล่ผู้อาศัยสิทธิของผู้เช่า โดยผู้เช่ามีสิทธิฟ้องได้แม้ไม่ใช่เจ้าของสถานที่
ในฟ้องของโจทก์กล่าวว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับโอนการเช่าโรงเรือนของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาจากโจทก์ที่ 2 ผู้เช่าเดิมแต่ระหว่างโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เช่า โจทก์ที่ 2 ได้ตกลงจ้างจำเลยจัดการดำเนินการค้าอยู่ในโรงเรือนที่เช่า ครั้นโจทก์ที่ 1 ได้รับโอนสิทธิการเช่ามาจากโจทก์ที่ 2 แล้วโจทก์ที่ 2 ได้บอกเลิกจ้างจำเลยและให้จำเลยเลิกดำเนินการค้าเพื่อส่งมอบเรือนโรงรายนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1 จำเลยไม่ปฏิบัติตามยังคงทำการค้าและอาศัยโรงเรือนรายนี้ตลอดมาโดยมิได้รับความอนุญาตจากเจ้าของสถานที่และโจทก์ที่ 1 ผู้เช่าเป็นการละเมิดและรอนสิทธิโจทก์ที่ 1 ฟ้องดังกล่าวมานี้แสดงว่าโจทก์เป็นผู้เช่าสถานที่พิพาทจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำเลยเป็นผู้อาศัยสิทธิโจทก์และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยออกจากสถานที่เช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออกเช่นนี้โดยปกติโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ส่วนข้อต่อสู้จำเลยจะมีอย่างไรเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 810/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลพิจารณาจากข้อความทั้งหมดประกอบกัน เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
การพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์นั้นจะต้องพิจารณาข้อความที่โจทก์บรรยายไว้ทั้งหมดประกอบกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยวิ่งราวทรัพย์โจทก์ไปต่อหน้าเป็นเงิน 1,700 บาท
ดังนี้เรียกว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าทรัพย์ที่จำเลยทำการฉกฉวยไปนั้นเป็นเงิน จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยวิ่งราวทรัพย์โจทก์ไปต่อหน้าเป็นเงิน 1,700 บาท
ดังนี้เรียกว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าทรัพย์ที่จำเลยทำการฉกฉวยไปนั้นเป็นเงิน จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาไม่ต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น
โจทก์บรรยายในฟ้องว่า "จำเลยขับรถยนต์แซงรถสามล้อเครื่องแล้วเร่งเครื่องยนต์ขับเพื่อขึ้นหน้า ฯ " แต่ครั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ว่า" โจทก์นำพยานเข้าสืบว่า เห็นแต่สามล้อธรรมดาวิ่งอยู่เยื้องหน้ารถจำเลย" เพียงเท่านี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำกล่าวหาในฟ้องของโจทก์ รูปคดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อาญา ม.218.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อเท็จจริงที่นำสืบไม่ต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงล้วน
โจทก์บรรยายในฟ้องว่า'จำเลยขับรถยนต์แซงรถสามล้อเครื่องแล้วเร่งเครื่องยนต์ขับเพื่อขึ้นหน้าฯ' แต่ครั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์โจทก์นำพยานเข้าสืบว่าเห็นแต่สามล้อธรรมดาวิ่งอยู่เยื้องหน้ารถจำเลย'เพียงเท่านี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำกล่าวหาในฟ้องของโจทก์รูปคดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวเท่านั้นจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีมรดกต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันรู้ถึงการเสียชีวิตของเจ้ามรดก หากเกินกำหนดฟ้องขาดอายุความ
คดีมรดกต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันเจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกตามมาตรา1754
โจทก์เป็นสามีผู้ตายเจ้ามรดก. เวลาเจ้ามรดกตายโจทก์ก็รู้และนับแต่วันตายมาถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้วทั้งมรดกที่พิพาทกันโจทก์ก็มิได้เป็นผู้ครอบครองร่วมกับจำเลย(มารดาผู้ตาย)เช่นนี้ โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ถูกปิดบังทรัพย์โจทก์เพียงทราบว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอยู่เมื่อระยะภายใน 1 ปีนี้เองอายุความตาม มาตรา 1754 ไม่บังคับถึงนั้นไม่ได้
โจทก์เป็นสามีผู้ตายเจ้ามรดก. เวลาเจ้ามรดกตายโจทก์ก็รู้และนับแต่วันตายมาถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้วทั้งมรดกที่พิพาทกันโจทก์ก็มิได้เป็นผู้ครอบครองร่วมกับจำเลย(มารดาผู้ตาย)เช่นนี้ โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ถูกปิดบังทรัพย์โจทก์เพียงทราบว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอยู่เมื่อระยะภายใน 1 ปีนี้เองอายุความตาม มาตรา 1754 ไม่บังคับถึงนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าพนักงาน: จำเลยถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บเงินภาษีเกินและยักยอก ศาลยกฟ้องเนื่องจากฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ตาม กฎหมายอาญา มาตรา131 เป็นบทบัญญัติเรื่องเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของรัฐบาลซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาตามหน้าที่ของตนเมื่อฟ้องของโจทก์กล่าวซ้ำๆ กันแต่ในเรื่องจำเลยเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บแล้วยักยอกเงินส่วนที่เรียกเก็บเกินมานั้นย่อมเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องเจาะจงความผิดตาม มาตรา135 โดยตรงไม่มีข้อความให้เห็นว่ามุ่งถึง มาตรา131 เลย
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรับรองบุตรต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด มิเช่นนั้นศาลยกฟ้อง
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรนั้นจะมีได้แต่ในกรณีที่แจ้งไว้ตาม ป.พ.พ. ม.1529
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องใจความว่า "ข้าพเจ้ากับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันเอง ฯลฯ" ดังนี้ไม่เข้าเกณฑ์ตาม ม.1529(4).
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องใจความว่า "ข้าพเจ้ากับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันเอง ฯลฯ" ดังนี้ไม่เข้าเกณฑ์ตาม ม.1529(4).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเสื่อมเสียอิสระภาพเป็นอาญาแผ่นดิน พนักงานอัยการฟ้องได้โดยไม่จำต้องอาศัยการร้องทุกข์ของผู้เสียหาย
ความผิดฐานเสื่อมเสียอิสระภาพตาม ก.ม.อาญา ม.268 วรรค 3 เป็นความผิดอาญาแผ่นดินโดยตรง มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวโดยปกติพนักงานอัยการย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องจำเลยในความผิดฐานนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการร้องทุกข์ของผู้เสียหาย เพียงแต่โจทก์บรรยายฟ้องถึงเรื่องข่มขืนกระทำชำเราด้วยเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ตามรูปเรื่องซึ่งความจริงเรื่องข่มขืนกระทำชำเรานั้นผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์ไปแล้วย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะถอนได้แต่เฉพาะเรื่องที่เป็นความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้นไม่เกี่ยวกับความผิดอันเป็นอาญาแผ่นดินโดยตรงประการใดเลยและไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิฟ้องคดีของโจทก์ในเรื่องความผิดฐานเสื่อมเสียอิสสรภาพดังกล่าวมาแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาต่างกรรมต่างวาระและการบังคับใช้บทกฎหมายตามฟ้อง
ในคดีที่จำเลยหลายคนสมคบกันทำร้ายผู้เสียหายหลายคนโจทก์บรรยายฟ้องว่า "จำเลยต่างมีมีดเป็นอาวุธสมคบกันฟันและแทงทำร้ายร่างกายนายสอาดกับนายใจถึงบาดเจ็บสาหัสทุพลภาพฯ" ในฟ้องมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นกิจลักษณะต่างกรรมต่างวาระและโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าการกระทำร้ายได้เกิดขึ้นในลักษณะอย่างไร ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้อ้าง ม.71 ให้เรียงกะทงลงโทษ เพียงเท่านั้นยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกะทง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษกระทงความผิดฐานทำร้ายร่างกายหลายคน: การพิจารณาต่างกรรมต่างวาระและการบังคับใช้ตามฟ้อง
ในคดีที่จำเลยหลายคนสมคบกันทำร้ายผู้เสียหายหลายคนโจทก์บรรยายฟ้องว่า 'จำเลยต่างมีมีดเป็นอาวุธสมคบกันฟันและแทงทำร้ายร่างกายนายสอาดกับนายใจถึงบาดเจ็บสาหัสทุพพลภาพฯ'ในฟ้องมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นกิจจะลักษณะต่างกรรมต่างวาระและโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าการกระทำร้ายได้เกิดขึ้นในลักษณะอย่างไรทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้อ้าง มาตรา71 ให้เรียงกระทงลงโทษ เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกระทง