พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีเดิมซ้ำ โดยอาศัยเหตุผลและเอกสารหลักฐานเดิม ศาลยกฟ้อง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีก่อนคดีถึงที่สุดแล้วโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีเอกสารหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดง เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้วว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันโดยอาศัยเหตุที่โจทก์ไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดงต่อศาล โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่ฟ้องในคดีก่อน จึงเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยอาศัยเหตุเรื่องหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดิมนั้นอีก เป็นการฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2899/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่? เมื่อสถานะที่ดินเปลี่ยนแปลงจากป่าสงวนเป็นที่ดินว่างเปล่า สัญญาประนีประนอมยังบังคับได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยตกลงจะซื้อที่พิพาทจากโจทก์โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว แต่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นอื่น ต่อมาทางราชการได้รับรองว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2899/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำหลังศาลตัดสินว่าที่ดินเป็นป่าสงวนฯ แต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงสถานะที่ดิน ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องได้อีก
คดีก่อนศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนจากจำเลยทั้งสองได้ จึงพิพากษายกฟ้องซึ่งเป็นการให้ยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ต่อมาทางราชการได้รับรองว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้โจทก์ยึดถือครอบครองที่พิพาทได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความบังคับให้จำเลยที่ 1 ซื้อและชำระราคาที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในราคาที่เป็นธรรมหากไม่ยอมซื้อก็ให้จำเลยทั้งสองรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทได้อีก เพราะคดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดี ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำ: คดีจำหน่ายเนื่องจากขาดนัด ไม่ถือเป็นการวินิจฉัยชี้ขาด
คดีก่อนโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ เป็นการขาดนัดพิจารณาและจำเลยไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไปศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นออกจากสารบบความ ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาแห่งประเด็นที่พิพาท ดังนั้นแม้โจทก์จะฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้อีกโดยอ้างเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนก็ตาม ก็ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2577/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ, หนังสือยินยอมสามี, บอกกล่าวบังคับจำนอง, ดอกเบี้ยเกินอัตรา, และดอกเบี้ยผิดนัด
คดีก่อนโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลย บรรยายฟ้องว่า ก่อนฟ้องโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง คดีก่อนที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ต่อมาเมื่อโจทก์ปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้วฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ หนังสือให้ความยินยอมของสามีโจทก์ ไม่เป็นใบมอบอำนาจที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ การบอกกล่าวบังคับจำนอง กำหนดเวลาให้ชำระหนี้ ภายใน 30 วันเป็นเวลาอันสมควร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิสามีภริยาในสินสมรส: การขอลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วม แม้เวลาผ่านนาน และไม่ใช่ฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยและศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินแต่อย่างใด ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในสินสมรสประเด็นของคดีนี้จึงมีว่าทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อน การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สิทธิของสามีหรือภริยาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1475 นั้น เป็นการที่กฎหมายกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์กล่าวในฟ้องแล้วว่าได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรส จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่ามิได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้วเพิกเฉยอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โจทก์จำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาระหว่างสมรสและได้มาขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม การที่จะพิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา การรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยนั้นมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิมจึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1466แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะที่ได้มา สิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1475 นั้น เป็นบทบัญญัติในหมวดทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตราบใดที่ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่ คู่สมรสก็ยังมีสิทธิตามที่กำหนดไว้ในมาตรานี้ตลอดเวลาไม่ว่าจะช้านานเท่าใด เมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่โจทก์ย่อมจะใช้สิทธิร้องขอให้ลงชื่อตนด้วยได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การเรียกร้องค่าเสียหายซ้ำซ้อนในคดีเดิมที่ยังไม่สิ้นสุด
ตามคำฟ้องคดีก่อนโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร และจำเลยทั้งสองได้อนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารได้ โจทก์จึงได้จ้างบริษัท ม.ทำการสร้างเข็มเจาะเพื่อทำการก่อสร้างโดยเสียค่าจ้างเป็นเงิน 140,000 บาท ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าว โดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับที่ดินที่ทำการปลูกสร้างอาคารให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง คดีนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองให้ทำการปลูกสร้างอาคารแล้ว โจทก์จึงได้ดำเนินการก่อสร้างโดยเสียค่าใช้จ่ายในการปรับหน้าดินกับค่าจ้างเขียนแบบและค่าจ้างบริษัท ม.ทำการสร้างเข็มเจาะ รวมเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปทั้งสิ้น 220,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อร่วมกันกระทำโดยมิชอบออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจทำการก่อสร้างได้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในเงินที่โจทก์ได้ลงทุนไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าว สาระสำคัญอันที่โจทก์นำมากล่าวอ้างเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องและเรียกค่าเสียหายในคดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องเดียวกัน และมูลเหตุเดียวกันกับในคดีก่อนชอบที่โจทก์จะได้เรียกร้องค่าเสียหายมาพร้อมกับฟ้องในคดีก่อนเสียในคราวเดียวกัน โจทก์จะนำคดีมาแบ่งแยกฟ้องทีละส่วนทีละตอน ทั้ง ๆ ที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของที่ดินฟ้องเปิดทางจำเป็น แม้ไม่ครอบครอง และฟ้องซ้ำที่ไม่เป็นเหตุต้องห้าม
โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีอำนาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทที่โจทก์อ้างว่าตกเป็นทางจำเป็นได้โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ครอบครองทางพิพาทและการที่โจทก์ยื่นฟ้องแล้วขอถอนฟ้องและนำมูลคดีนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมาย มิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน ศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องเป็นคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำอันต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 148 ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่โดยรอบ โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะมา 40 กว่าปี โดยไม่ได้ใช้ทางอื่น ทางพิพาทอยู่ริม สุดของเขตที่ดินของจำเลยทำให้ที่ดินของจำเลยที่ 2 เสียหายน้อยที่สุดและเป็นทางจำเป็นซึ่งพอควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ ดังนี้จำเลยไม่มีสิทธิก่อกำแพงปิดกั้นทางพิพาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของกรรมสิทธิ์มีอำนาจฟ้องเปิดทางจำเป็น แม้ไม่ครอบครอง และฟ้องซ้ำไม่สำเร็จหากยังไม่มีคำพิพากษา
โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีอำนาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ครอบครองทางพิพาท โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน ศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันอีก จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในประเด็นการครอบครองปรปักษ์ เมื่อศาลเคยวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว
คดีก่อนผู้คัดค้านฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยว่าบุกรุกเข้าไปในที่พิพาทที่เป็นของผู้คัดค้าน ผู้ร้องให้การว่าผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ขอให้ศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้ประเด็นแห่งคดีเหมือนกันและคู่ความเดียวกัน ทั้งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วจึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144.