พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องผู้จัดการมรดก เหตุข้อเรียกร้องใหม่เกินกรอบที่ศาลอุทธรณ์ตัดสิน
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านอุทธรณ์ผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์ คดีของผู้ร้องจึงถึงที่สุดผู้ร้องจะฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้คัดค้านไม่ได้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค2 ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อเรียกร้องใหม่ในศาลฎีกา เกินกรอบที่ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้คัดค้านอุทธรณ์ผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์คดีของผู้ร้องจึงถึงที่สุดผู้ร้องจะฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้คัดค้านไม่ได้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเป็นผู้จัดการมรดกต้องยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นยกคำร้องและมีคู่ความอุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียว คดีถึงที่สุดแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้คัดค้านอุทธรณ์ผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์คดีของผู้ร้องจึงถึงที่สุดผู้ร้องจะฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้คัดค้านไม่ได้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผิดสัญญา แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย การฟ้องใหม่จึงไม่เป็นการรื้อฟ้อง
ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมีการแบ่งที่ดินที่ซื้อขายกันเป็น 3 ส่วน ตามสัญญา ข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ตามลำดับ และมีข้อตกลงกับเงื่อนไขในการซื้อขายของที่ดินแต่ละส่วนแยกต่างหากจากกันตามข้อสัญญาแต่ละข้อดังกล่าว โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง คดีมีประเด็นในคดีว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ส่วนคดีแพ่งเรื่องเดิมแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็นและศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วเพราะฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ดังนี้ ผลก็คือศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในคดีเดิมว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดี: การต่อสู้คดีเรื่องอายุความต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เท่านั้น
ตามคำให้การจำเลยยืนยันว่าได้ส่งมอบสินค้าพิพาทให้โจทก์แล้วและนับจากวันดังกล่าวถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ล่วงเลยกำหนด 1 ปี จึงขาดอายุความแสดงว่าจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดีว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันส่งมอบเท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ควรจะได้ส่งมอบ ที่จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ควรจะได้ส่งมอบสินค้าจึงเป็นฎีกาในข้อที่จำเลยมิได้ให้การไว้ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยได้เลย
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาพิจารณาเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9402/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกัน ไม่มีสิทธิฎีกา เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 1 และไม่มีผลกระทบต่อจำเลยที่ 3
คดี นี้ ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ที่ 1 ชำระเงิน จำนวน 18,327,369 บาท พร้อม ดอกเบี้ย แก่ โจทก์ และ ให้ จำเลย ที่ 3ผู้ค้ำประกัน ร่วม กับ จำเลยที่ 1 รับ ผิด ชำระเงิน จำนวน2,98,257.21 บาท พร้อม ดอกเบี้ย แก่ โจทก์ ปรากฏ ว่า เฉพาะ โจทก์ เท่านั้น ที่ อุทธรณ์ ขอให้ จำเลยที่ 1 รับผิด เพิ่มขึ้นจำเลยที่ 3 หา ได้ อุทธรณ์ ไม่ คดี สำหรับ จำเลย ที่ 3 จึง ถึงที่สุดตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น แม้ ศาลอุทธรณ์ จะ พิพากษา แก้ เป็น ว่าให้ จำเลย ที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาท พร้อม ดอกเบี้ยแก่ โจทก์ คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ดังกล่าว ก็ หา มี ผล ทำให้จำเลยที่ 3 ต้อง รับผิด เพิ่ม ขึ้น จาก คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ไม่จำเลยที่ 3 จึง ไม่ มี สิทธิ ฎีกา ว่า ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่าโจทก์ มี สิทธิ เรียก ดอกเบี้ย ทบต้น จาก จำเลยที่ 1 ได้ จนถึงวันที่ หัก ทอน บัญชี กัน ครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 1 เมษายน 2534ไม่ ถูกต้อง เพราะ เป็น ข้อ ที่ มิได้ ยกขึ้น ว่า กัน มา แล้ว โดย ชอบใน ศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9341/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฎีกาต้องรอคำสั่งรับรองจากผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก่อน มิฉะนั้นคำสั่งรับฎีกาไม่ชอบ
คดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคู่ความยื่นฎีกาพร้อมกับคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 248 แล้ว ศาลชั้นต้นต้องส่งฎีกาไปให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งคำร้องของผู้ฎีกาก่อนแล้วจึงจะมีคำสั่งต่อไปได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาดังกล่าวโดยสั่งในฎีกาด้วยว่าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและมิได้ดำเนินการตามที่ผู้ยื่นฎีการ้องขอ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาจึงไม่ชอบด้วยเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลังจำเลยรับสารภาพ, ปัญหาข้อเท็จจริงสำคัญที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277วรรคสาม มีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคแรก ข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงยังไม่ยุติ เมื่อจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำชำเราโดยมิได้ใช้อาวุธ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอีกได้