พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ทำให้ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันในขณะที่ไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยกล่าวอ้างว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ถูกต้อง โจทก์ต้องนำสืบถึงข้อกล่าวอ้างของโจทก์ให้ปรากฏ ซึ่งต้องอาศัยหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐาน เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ย่อมใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินและต้นยางพาราหลังฟ้องคดีแพ่ง ไม่เข้าข่ายโกงเจ้าหนี้หากเจ้าหนี้ยังไม่ได้รับการชำระหนี้ทั้งหมด
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต้นยางพาราหรือให้คืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ จึงยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยหรือไม่ ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ และแม้หากจะฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ตัดโค่นต้นยางพาราตามสัญญาได้ก็ตาม โจทก์ก็ยังต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลยตามสัญญาอยู่ดี โจทก์จะได้ผลประโยชน์หรือเป็นเจ้าหนี้เพียงไม่เกินจำนวนตามที่โจทก์ขอเป็นค่าเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องซึ่งเมื่อรวมกับเงินมัดจำที่จะได้คืนแล้ว ก็ยังน้อยกว่าทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่ การที่ภายหลังจำเลยขายที่ดินและต้นยางพาราให้บุคคลอื่น จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันจะมีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทรัพย์สินระหว่างคดีแพ่ง: ไม่ถือเป็นโกงเจ้าหนี้ หากมูลหนี้ไม่แน่นอนและทรัพย์สินจำเลยมีมูลค่าสูงกว่าหนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต้นยางพารา โดยให้โจทก์เข้าตัดโค่นไม้ยางพาราหรือให้จำเลยคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์คดีแพ่งดังกล่าวจึงยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยหรือไม่ และแม้หากจะฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิเข้าตัดโค่นต้นยางพาราตามสัญญาก็ตาม โจทก์ก็ต้องชำระราคาที่เหลือให้จำเลย โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้เพียงไม่เกินค่าเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องกับเงินมัดจำที่จะได้คืน ซึ่งน้อยกว่าทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่มากการที่ภายหลังจำเลยขายที่ดินและต้นยางพาราให้บุคคลอื่นจึงยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันจะมีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินและยางพาราหลังมีคดีแพ่ง เจ้าหนี้ไม่เสียหาย ไม่เป็นโกงเจ้าหนี้
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต้นยางพาราหรือให้คืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ จึงยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยหรือไม่ ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ และแม้หากจะฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ตัดโค่นต้นยางพาราตามสัญญาได้ก็ตาม โจทก์ก็ยังต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลยตามสัญญาอยู่ดี โจทก์จะได้ผลประโยชน์หรือเป็นเจ้าหนี้เพียงไม่เกินจำนวนตามที่โจทก์ขอเป็นค่าเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องซึ่งเมื่อรวมกับเงินมัดจำที่จะได้คืนแล้ว ก็ยังน้อยกว่าทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่ การที่ภายหลังจำเลยขายที่ดินและต้นยางพาราให้บุคคลอื่น จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันจะมีมูลความผิดฐานโกงเจ้าหนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีแพ่งถึงที่สุด ผลของคำพิพากษาคดีอาญาไม่อาจลบล้างได้
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ และดำเนินการเพื่อจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองในคดีแพ่งที่ถึงที่สุดแล้วนั้นเป็นกรณีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยชอบ ซึ่งเป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ส่วนคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์นั้นเป็นเรื่องที่จะบังคับเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นกรณีคนละเรื่องกันผลของคำพิพากษาในคดีอาญาไม่อาจลบล้างคำพิพากษาในคดีแพ่งได้จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่คดีแพ่ง: เหตุจำเป็นต้องตรวจสอบสำนวนคดี และความล่าช้าที่เกิดจากจำเลย
ในการขอให้พิจารณาใหม่จำเป็นที่ต้องตรวจดูสำนวนคดีเพื่อทราบคำฟ้องและกระบวนพิจารณาคดีตลอดจนคำพิพากษาของศาลเสียก่อน ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า การได้รับสำเนาสำนวนคดีจากเจ้าพนักงานศาลล่าช้า ทำให้ไม่สามารถตรวจดูสำนวนคดีคำฟ้องและกระบวนพิจารณาตลอดจนคำพิพากษาของศาลได้ ถือได้ว่ากรณีดังกล่าวเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ วันที่ 6 สิงหาคม 2530 อ้างว่าจำเลยรู้ว่าถูกยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 รุ่งขึ้นจำเลยเดินทางไปต่างจังหวัด และกลับถึงบ้านวันที่ 19 กรกฎาคม 2530 วันที่ 20 กรกฎาคม 2530 จำเลยติดต่อขอคัดสำเนาสำนวนคดี เจ้าพนักงานศาลถ่ายสำเนาคดีให้จำเลยได้ภายใน 8 วัน และเกี่ยวกับทะเบียนบ้านเจ้าหน้าที่เขตก็สามารถตรวจสอบแจ้งให้จำเลยทราบผลภายใน 3 วัน หากจำเลยไม่ปล่อยปละละเลยไปต่างจังหวัดเสีย 11 วัน จำเลยก็สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ทันภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ทราบว่าถูกยึดทรัพย์การที่จำเลยเดินทางไปต่างจังหวัด แม้จะเป็นความจริงก็หาเป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ไม่ ความล่าช้าที่เกิดขึ้นจึงเป็นความบกพร่องของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ วันที่ 6 สิงหาคม 2530 อ้างว่าจำเลยรู้ว่าถูกยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 รุ่งขึ้นจำเลยเดินทางไปต่างจังหวัด และกลับถึงบ้านวันที่ 19 กรกฎาคม 2530 วันที่ 20 กรกฎาคม 2530 จำเลยติดต่อขอคัดสำเนาสำนวนคดี เจ้าพนักงานศาลถ่ายสำเนาคดีให้จำเลยได้ภายใน 8 วัน และเกี่ยวกับทะเบียนบ้านเจ้าหน้าที่เขตก็สามารถตรวจสอบแจ้งให้จำเลยทราบผลภายใน 3 วัน หากจำเลยไม่ปล่อยปละละเลยไปต่างจังหวัดเสีย 11 วัน จำเลยก็สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ทันภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ทราบว่าถูกยึดทรัพย์การที่จำเลยเดินทางไปต่างจังหวัด แม้จะเป็นความจริงก็หาเป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ไม่ ความล่าช้าที่เกิดขึ้นจึงเป็นความบกพร่องของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหาร: คดีเบิกความเท็จของทหาร ไม่เกี่ยวพันกับคดีแพ่งเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่ง เป็นนายทหารเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งต่อศาลพลเรือน การที่โจทก์นำคำเบิกความของจำเลยทั้งสองมาฟ้องคดีนี้ หาใช่คดีนี้เกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวไม่ แต่เป็นเพียงนำคำเบิกความดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่จะอ้างอิงในคดีนี้เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการ และจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารประทวนประจำการ จำเลยทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 16(1) และ (3) ตามลำดับ ทั้งเป็นคดีที่ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 14 คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 13
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหาร: คดีเบิกความเท็จเป็นพยานหลักฐาน ไม่ใช่คดีเกี่ยวพันกับคดีแพ่ง
การที่โจทก์นำคำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งมาฟ้องเป็นคดีอาญา หาใช่เป็นคดีเกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวไม่ แต่เป็นเพียงนำคำเบิกความดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่จะอ้างอิงในคดีอาญาเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการ และจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารประทวนประจำการ จำเลยทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 16(1) และ (3) และไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 14 ดังนี้คดีอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 13
การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับคดีไว้พิจารณาหมายความว่าให้รับคดีนี้ไว้ไต่สวนมูลฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 162(1) ยังถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นประทับฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น จะถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับคดีไว้พิจารณาหมายความว่าให้รับคดีนี้ไว้ไต่สวนมูลฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 162(1) ยังถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นประทับฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น จะถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหาร: คดีเบิกความเท็จของทหาร ไม่เกี่ยวพันกับคดีแพ่งเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายทหารเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลพลเรือน การที่โจทก์นำคำเบิกความของจำเลยทั้งสองมาฟ้องคดีนี้ หาใช่คดีนี้เกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวไม่แต่เป็นเพียงนำคำเบิกความดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่จะอ้างอิงในคดีนี้เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการและจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารประทวนประจำการ จำเลยทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารพ.ศ. 2498 มาตรา 16(1) และ (3) ตามลำดับ ทั้งเป็นคดีที่ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 14 คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 13
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม: เหตุผลที่ไม่รับฟ้องแย้งในคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กู้และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินที่จำเลยมอบให้โจทก์เป็นค่าติดต่อส่งคนไปทำงานต่างประเทศคืน โดยขอนำเงินดังกล่าวหักออกจากสัญญากู้ยืม ดังนี้ ฟ้องแย้งจึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน และไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม