พบผลลัพธ์ทั้งหมด 886 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องค่าเสียหายจากสัญญาซื้อขายและก่อสร้างที่ไม่บังคับแก่ตัวทรัพย์ ถือเป็นคำฟ้องที่ไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
คำฟ้องโจทก์หาว่าจำเลยผิดสัญญาวางมัดจำซื้อที่ดินและว่าจ้างก่อสร้างอาคารซึ่งจำเลยได้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์แล้วให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้นมิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินและอาคารที่ปลูกสร้างจึงไม่เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใดๆอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้นได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำคู่ความและการพิจารณาคดีใหม่ตามคำสั่งศาลฎีกา การแก้ไขคำฟ้องและคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีเปลี่ยนไป
คำร้องขอแก้ไขฟ้อง คำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นการตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ จึงเป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (5) เมื่อคู่ความยื่นคำร้องเข้ามาและศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 คำสั่งนี้จึงมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 ซึ่งทำให้ประเด็นที่โจทก์ตั้งขึ้นโดยคำร้องแก้ไขคำฟ้องและคำร้องแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเสร็จไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามมาตรา 228 (3) คำสั่งของศาลที่สั่งยกคำร้องจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ซึ่งโจทก์ได้ยื่นภายหลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้โดยศาลฎีกาไม่ได้กำหนดประเด็นและไม่ได้กำหนดหน้าที่นำสืบให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ก็ชอบที่จะปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้ทำการชี้สองสถานหรือทำการสืบพยาน โจทก์ก็ชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องและขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้ กรณีไม่ใช่ล่วงเลยการชี้สองสถานและวันสืบพยานจนศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นการพิจารณาไปแล้ว เพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกคำพิพากษาศาลฎีกายกเสียแล้ว
การขอแก้ไขคำฟ้อง โจทก์ย่อมจะขอแก้ไขได้แม้เป็นการเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงหรือสละข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อหาที่ตั้งไว้เดิมบริบูรณ์ แต่ยังคงให้จำเลยรับผิดตามเดิม ส่วนการขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งแม้จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ย่อมกระทำได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (2)(3)
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ซึ่งโจทก์ได้ยื่นภายหลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้โดยศาลฎีกาไม่ได้กำหนดประเด็นและไม่ได้กำหนดหน้าที่นำสืบให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ก็ชอบที่จะปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้ทำการชี้สองสถานหรือทำการสืบพยาน โจทก์ก็ชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องและขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้ กรณีไม่ใช่ล่วงเลยการชี้สองสถานและวันสืบพยานจนศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นการพิจารณาไปแล้ว เพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกคำพิพากษาศาลฎีกายกเสียแล้ว
การขอแก้ไขคำฟ้อง โจทก์ย่อมจะขอแก้ไขได้แม้เป็นการเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงหรือสละข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อหาที่ตั้งไว้เดิมบริบูรณ์ แต่ยังคงให้จำเลยรับผิดตามเดิม ส่วนการขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งแม้จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ย่อมกระทำได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (2)(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องแสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน แม้รายละเอียดหนี้เป็นเรื่องสืบในชั้นพิจารณา ศาลไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงหนี้ที่จำเลยค้างชำระและพยานหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ระหว่างวันที่เท่าใดจำนวนเท่าใดด้วยจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วส่วนรายละเอียดแห่งหนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเพื่อหวังผลประโยชน์ โดยแสดงเจตนาเท็จ ศาลพิพากษายืนตามคำฟ้อง
คำฟ้องที่อ่านโดยตลอดแล้วเข้าใจได้ว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยมีเจตนาที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศบาห์เรน แต่ตามจริงแล้วจำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศดังกล่าวแต่อย่างใดเป็นการบรรยายฟ้องถึงรายละเอียดที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามป.วิ.อ.มาตรา158(5)แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122-130/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: ศาลมิอาจแก้ไขคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้มีการสอบถามและแถลงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ฟ้องเคลือบคลุมเป็นฟ้องที่ไม่ชอบมาแต่แรก ประเด็นตามคำฟ้องจึงไม่เกิด แม้ศาลมีอำนาจสอบถามคู่ความเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทแต่การสอบถามนั้นก็จำต้องตรวจจากคำคู่ความที่ชอบ หากไม่เป็นคำคู่ความที่ชอบเสียแล้วแม้คู่ความจะแถลงเป็นประการใดก็หาอาจทำให้คำคู่ความนั้นกลับเป็นคำคู่ความที่ชอบและมีประเด็นขึ้นตามที่ศาลสอบถามและที่คู่ความแถลงไม่
โจทก์ที่ 2 บรรยายฟ้องเพียงประโยคเดียวว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี แล้วมีคำขอให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวเป็นจำนวน 1,428.33 บาท โดยมิได้บรรยายว่าตนมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละกี่วัน มิได้หยุดในปีใดปีละกี่วัน ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ส่วนโจทก์ที่ 9 บรรยายฟ้องว่าตนมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ 12 วัน รวม 2 ปี เป็นเวลา 24 วัน ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนไปแล้ว 15 วันจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ไม่ได้หยุด 9 วัน คิดเป็นเงิน 5,724 บาท ดังนี้ เป็นฟ้องที่พอเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ที่ 9 ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับสองปีสุดท้าย เป็นฟ้องที่ได้แสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพียงพอแก่ความต้องการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ที่ 2 บรรยายฟ้องเพียงประโยคเดียวว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี แล้วมีคำขอให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวเป็นจำนวน 1,428.33 บาท โดยมิได้บรรยายว่าตนมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละกี่วัน มิได้หยุดในปีใดปีละกี่วัน ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ส่วนโจทก์ที่ 9 บรรยายฟ้องว่าตนมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ 12 วัน รวม 2 ปี เป็นเวลา 24 วัน ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนไปแล้ว 15 วันจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ไม่ได้หยุด 9 วัน คิดเป็นเงิน 5,724 บาท ดังนี้ เป็นฟ้องที่พอเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ที่ 9 ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับสองปีสุดท้าย เป็นฟ้องที่ได้แสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพียงพอแก่ความต้องการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122-130/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: คำฟ้องต้องชัดเจนในรายละเอียดสิทธิเรียกร้อง ศาลไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของคำฟ้องได้
ฟ้องเคลือบคลุมเป็นฟ้องที่ไม่ชอบมาแต่แรกประเด็นตามคำฟ้องจึงไม่เกิดแม้ศาลมีอำนาจสอบถามคู่ความเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทแต่การสอบถามนั้นก็จำต้องตรวจจากคำคู่ความที่ชอบหากไม่เป็นคำคู่ความที่ชอบเสียแล้วแม้คู่ความจะแถลงเป็นประการใดก็หาอาจทำให้คำคู่ความนั้นกลับเป็นคำคู่ความที่ชอบและมีประเด็นขึ้นตามที่ศาลสอบถามและที่คู่ความแถลงไม่ โจทก์ที่2บรรยายฟ้องเพียงประโยคเดียวว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแล้วมีคำขอให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวเป็นจำนวน1,428.33บาทโดยมิได้บรรยายว่าตนมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละกี่วันมิได้หยุดในปีใดปีละกี่วันฟ้องของโจทก์ที่2จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ส่วนโจทก์ที่9บรรยายฟ้องว่าตนมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีปีละ12วันรวม2ปีเป็นเวลา24วันได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนไปแล้ว15วันจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ไม่ได้หยุด9วันคิดเป็นเงิน5,724บาทดังนี้เป็นฟ้องที่พอเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ที่9ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับสองปีสุดท้ายเป็นฟ้องที่ได้แสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพียงพอแก่ความต้องการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3803/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องละเมิดจากการหลอกลวงให้เชื่อว่ามีการลงนามในสัญญากู้ยืมเงิน คำฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ โดยเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันโจทก์ตกลงให้กู้ยืมแต่เห็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวมีชื่อ อ. เป็นเจ้าของที่ดิน จึงมอบหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่กรอกข้อความแล้วให้จำเลยเอาไปให้ อ. ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ จำเลยนำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไปแล้วนำมาคืนให้โจทก์โดย ใช้อุบาย หลอกลวงโจทก์ว่า อ. ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้แล้ว โจทก์หลงเชื่อจึงให้เงินแก่จำเลยและยึดถือหนังสือสัญญากู้ยืมเงินไว้ ต่อมาเมื่อหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินถึงกำหนดชำระแล้ว โจทก์ทวงถามให้ อ. ชำระหนี้แต่ อ. ปฏิเสธว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ลายมือชื่อ อ. ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อปลอม การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ให้หลงเชื่อดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องเป็นเรื่องที่ขอให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด เป็นคำฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาและ คำขอบังคับตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยแจ้งชัด แม้จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารที่กล่าวในคำบรรยายฟ้องมาพร้อม คำฟ้องด้วย คำฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุรายละเอียดการกระทำความผิดให้ชัดเจน มิฉะนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาเรื่องหมิ่นประมาท และข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว มิได้บรรยายว่า คดีมีข้อกล่าวหากันอย่างไร และข้อความที่จำเลยเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีนั้นอย่างไร ดังนี้ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แม้โจทก์ระบุเลขคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้อง และนำสืบถึงสำนวนคดีดังกล่าวในชั้นพิจารณาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็มิใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้อง จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์ให้สมบูรณ์ขึ้นหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเวนคืน: แม้คำฟ้องไม่ชัดเจน แต่หากบรรยายฟ้องระบุฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
แม้ในช่องคู่ความตามคำฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่า ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะอธิบดีกรมโยธาธิการซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่เวนคืน อสังหาริมทรัพย์แต่ในตอนบรรยายฟ้องได้ กล่าวว่าจำเลยที่ 2 เป็น อธิบดีกรมโยธาธิการและเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์จึงเข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะอธิบดีกรมโยธาธิการซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ให้รับผิดชำระเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนแก่โจทก์ หาใช่ฟ้องให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโฆษณาประกาศขายสินค้าจำพวกเครื่องบันทึกภาพ (วีดีโอ) และตลับเทปบันทึกภาพยี่ห้อโซนี่เลียนแบบการโฆษณาของ โจทก์ เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายเป็นคำฟ้องในเรื่อง จำเลยขายสินค้ายี่ห้อ และชนิดเดียวกับของโจทก์ส่วน ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องว่า โจทก์กลั่นแกล้งใส่ความฟ้อง จำเลยฝ่าฝืนต่อความจริงเป็นการละเมิด ทำให้จำเลยเสียหายต้องเสียค่าจ้างทนายความว่าต่างแก้ข้อกล่าวหา ทำให้จำเลยต้องเสียชื่อเสียงเกียรติคุณลูกค้าของจำเลยดูถูกเหยียดหยามไม่ยอมซื้อสินค้าของจำเลย ไม่เกี่ยวกับการขายสินค้าตามคำฟ้อง ของโจทก์เป็นคนละเรื่องกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม