คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประนีประนอมยอมความ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 599 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การบังคับชำระหนี้แทนจำเลยตามสัญญา
โจทก์และผู้ร้องขัดทรัพย์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมเป็นใจความว่า ผู้ร้องขอให้โจทก์ขายทอดตลาดเฉพาะเรือนตามประกาศทรัพย์อันดับ 2 ไปก่อน หากขายเรือนได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้องจะยอมชำระเงินให้โจทก์แทนจำเลยจนครบ ฯลฯ ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยขาดจำนวนอยู่ผู้ร้องต้องชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอม เมื่อไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับผู้ร้องชำระหนี้แทนจำเลยจนครบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันผู้ร้องต้องชำระหนี้แทนจำเลยเมื่อจำเลยไม่ชำระ
โจทก์และผู้ร้องขัดทรัพย์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมเป็นใจความว่า. ผู้ร้องขอให้โจทก์ขายทอดตลาดเฉพาะเรือนตามประกาศทรัพย์อันดับ 2 ไปก่อน หากขายเรือนได้เงิน.ไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา. ผู้ร้องจะยอมชำระเงินให้โจทก์แทนจำเลยจนครบ ฯลฯ ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยขาดจำนวนอยู่ผู้ร้องต้องชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอม. เมื่อไม่ชำระ. โจทก์จึงขอให้บังคับผู้ร้องชำระหนี้แทนจำเลยจนครบได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909-910/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความและการสละสิทธิในส่วนแบ่งมรดก เมื่อได้รับส่วนแบ่งตามคำพิพากษาแล้ว
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งมรดกกัน และตกลงให้แบ่งมรดกส่วนหนึ่งแก่บุคคลภายนอก. โจทก์ไม่ต้องการทรัพย์อีก. และไม่ขอเกี่ยวข้อง. ซึ่งศาลพิพากษาให้เป็นไปตามยอมนั้น. เมื่อโจทก์ได้รับแบ่งมรดกของโจทก์ถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว. การบังคับคดีเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ก็เป็นอันเสร็จสิ้น. โจทก์ย่อมไม่มีส่วนได้เสียที่จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: สิทธิไถ่ที่ดินเป็นประกันชำระหนี้ ไม่ทำให้โอนกรรมสิทธิ์
ที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีใจความว่าจำเลยยอมใช้เงิน 70,000 บาท แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระเงิน จำเลยยอมให้โจทก์เข้าสวมสิทธิไถ่การขายฝากที่ดิน เมื่อจำเลยไม่ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนดนั้น มิได้มีความหมายว่าเป็นการโอนสิทธิการไถ่การขายฝากให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 497(2) ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่มีความหมายแต่เพียงว่าโจทก์มีสิทธิไถ่ที่ดินที่ขายฝากคืนมาในนามของจำเลย จำเลยคงมีสิทธิอยู่ตามเดิม ส่วนโจทก์มีเพียงสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน 70,000 บาทตามสัญญาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภริยาที่ไม่นำไปสู่การหย่า ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ในคดีฟ้องขอหย่าและแบ่งทรัพย์ระหว่างกัน แต่คู่ความตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลเฉพาะในเรื่องแบ่งทรัพย์ ดังนี้ คำพิพากษาตามสัญญายอมเฉพาะในข้อตกลงแบ่งทรัพย์โดยไม่มีการหย่าขาดระหว่างกันนี้ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด การแบ่งทรัพย์นี้เป็นสัญญาระหว่างสามีภริยาอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ในคดีฟ้องขอหย่าและแบ่งทรัพย์ระหว่างกัน แต่คู่ความตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลเฉพาะในเรื่องแบ่งทรัพย์. ดังนี้ คำพิพากษาตามสัญญายอมเฉพาะในข้อตกลงแบ่งทรัพย์โดยไม่มีการหย่าขาดระหว่างกันนี้ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด. การแบ่งทรัพย์นี้เป็นสัญญาระหว่างสามีภริยาอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงิน: เอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหลักฐานการกู้ยืม
เอกสารคำมั่นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับจำเลย ลงวันที่ 7ธันวาคม 2496 มีข้อความสำคัญว่า จำเลยมอบฉันทะให้เจ้าหนี้รับเงินค่ารับเหมาส่งหินจากกรมทางหลวงแผ่นดิน 495,980 บาท และเพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าหนี้จึงจ่ายเงินให้จำเลย 450,000บาท เมื่อพิจารณาเอกสารนี้รวมกับหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งคดีดำที่ 875/2506ระหว่างบริษัทสหธนกิจ โจทก์ บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำเลยซึ่งมีข้อความว่า'ข้อ 2 จำเลยยอมให้เอาหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามข้อ 1 ไปหักกับดอกเบี้ยรายต้นเงิน 336,000 บาท ที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งยังค้างอยู่ถึงวันนี้.....'ตามคำขอรับชำระหนี้รายการอันดับ 4 รายพิพาทมีความว่า '4 หนี้เงินกู้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2496 ต้นเงินเดิม 450,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีลูกหนี้ผ่อนต้นมาคงค้างต้น 336,000 บาท' แสดงว่าหนี้ราย 336,000 บาท คือหนี้ราย 450,000 บาทแต่เดิมนั่นเอง เมื่อพิจารณาเอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าจำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากเจ้าหนี้.เอกสารทั้งสองฉบับนี้รวมกันจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่เจ้าหนี้นำพยานบุคคลมาสืบว่าเป็นหนี้เงินกู้ จึงหาใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานการกู้ยืมเงิน: เอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหลักฐานสำคัญ
เอกสารคำมั่นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับจำเลย ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2496 มีข้อความสำคัญว่า จำเลยมอบฉันทะให้เจ้าหนี้รับเงินค่ารับเหมาส่งหินจากกรมทางหลวงแผ่นดิน 495,980 บาท และเพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าหนี้จึงจ่ายเงินให้จำเลย 450,000บาท เมื่อพิจารณาเอกสารนี้รวมกับหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งคดีดำที่ 875/2506ระหว่างบริษัทสหธนกิจ โจทก์ บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำเลยซึ่งมีข้อความว่า"ข้อ 2 จำเลยยอมให้เอาหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามข้อ 1 ไปหักกับดอกเบี้ยรายต้นเงิน 336,000 บาท ที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งยังค้างอยู่ถึงวันนี้....." ตามคำขอรับชำระหนี้รายการอันดับ 4 รายพิพาทมีความว่า "4 หนี้เงินกู้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2496 ต้นเงินเดิม450,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีลูกหนี้ผ่อนต้นมาคงค้างต้น 336,000 บาท" แสดงว่าหนี้ราย 336,000 บาทคือหนี้ราย 450,000 บาทแต่เดิมนั่นเอง เมื่อพิจารณาเอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าจำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากเจ้าหนี้เอกสารทั้งสองฉบับนี้รวมกันจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่เจ้าหนี้นำพยานบุคคลมาสืบว่าเป็นหนี้เงินกู้ จึงหาใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินและการพิสูจน์หนี้จากเอกสารสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความ
เอกสารคำมั่นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับจำเลย ลงวันที่ 7ธันวาคม 2496 มีข้อความสำคัญว่า. จำเลยมอบฉันทะให้เจ้าหนี้รับเงินค่ารับเหมาส่งหินจากกรมทางหลวงแผ่นดิน495,980 บาท. และเพื่อเป็นการตอบแทน. เจ้าหนี้จึงจ่ายเงินให้จำเลย 450,000บาท. เมื่อพิจารณาเอกสารนี้รวมกับหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งคดีดำที่ 875/2506ระหว่างบริษัทสหธนกิจ โจทก์. บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำเลยซึ่งมีข้อความว่า'ข้อ 2 จำเลยยอมให้เอาหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามข้อ 1 ไปหักกับดอกเบี้ยรายต้นเงิน 336,000 บาท ที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี. ซึ่งยังค้างอยู่ถึงวันนี้.....'ตามคำขอรับชำระหนี้รายการอันดับ 4 รายพิพาทมีความว่า '4.หนี้เงินกู้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2496 ต้นเงินเดิม450,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีลูกหนี้ผ่อนต้นมาคงค้างต้น 336,000 บาท' แสดงว่าหนี้ราย 336,000 บาทคือหนี้ราย 450,000 บาทแต่เดิมนั่นเอง. เมื่อพิจารณาเอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบกันแล้ว.เห็นได้ชัดว่าจำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากเจ้าหนี้.เอกสารทั้งสองฉบับนี้รวมกันจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ. ดังนั้น. การที่เจ้าหนี้นำพยานบุคคลมาสืบว่าเป็นหนี้เงินกู้. จึงหาใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับข้อพิพาทด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ และการพิจารณาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลมีอำนาจที่จะแยกการพิจารณาคดีอาญาออกจากคดีแพ่ง และพิพากษาคดีอาญาไปทีเดียว ส่วนคดีแพ่งจะพิพากษาในภายหลังก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 42 วรรค 2 ฉะนั้นการที่โจทก์ถอนฟ้องคดีส่วนอาญาไป จึงหาทำให้คดีส่วนแพ่งระงับไปด้วยไม่
โจทก์จำเลยได้ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงว่าจำเลยขอชำระเงินตามฟ้องให้โจทก์เพียง 170,000 บาท โดยจะชำระให้เสร็จภายใน 6 เดือนโจทก์ตกลงด้วย ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยโจทก์จำเลยยอมผ่อนผันให้แก่กัน ศาลชั้นต้นได้จดข้อความแห่งข้อตกลงของคู่ความดังกล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาและคู่ความได้ลงชื่อไว้แล้ว ข้อตกลงนั้นจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และ 851แล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนี้หาจำเป็นที่ศาลจะต้องบันทึกลงไว้ในแบบพิมพ์สัญญายอมความเสมอไปไม่ ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่าคู่ความได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี ไม่มีข้อเท็จจริงอื่นที่ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้ว ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาคดีไปได้
of 60