คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประมวลกฎหมายอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 752 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยบันดาลโทสะจากเหตุข่มเหงอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ผู้ตายวิ่งไล่น้องสาวจำเลยเพื่อจะข่มขืนจนมาถึงเรือนจำเลยแล้วร้องด่าท้าทายขู่เข็ญข้างนอกเรือนจำเลยอยู่ตลอดเวลา จนจำเลยระงับโทสะไม่อยู่ คว้ามีดพร้าลงจากเรือนไล่ตามหลังผู้ตายไปทันในระยะทางประมาณ 8 เส้น และฟันผู้ตายตรงนั้นเช่นนี้ นับว่าเป็นพฤติการณ์ถึงขนาดอันถือได้ว่าเป็นการถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และเป็นการกระทำลงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดในขณะที่โทสะยังรุนแรงอยู่ อันถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงปืนเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมหลังปล้นทรัพย์ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสี่
จำเลยได้ทำการปล้นทรัพย์ แล้วได้พากันหนีไปห่างที่เกิดเหตุประมาณ 2 เส้น เห็นคนเดินสวนทางมา จำเลยจึงได้ยิงปืนขึ้น 1 นัด เป็นการยิงเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ขาดตอนกับการปล้นการกระทำของจำเลยจึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความรุนแรงของบาดเจ็บและการประกอบกรณียกิจปกติเกิน 20 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
ผู้เสียหายมีอาชีพพิมพ์ดีด เพียงการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บเป็นเหตุให้ความสามารถในการพิมพ์หย่อนลง กล่าวคือพิมพ์ได้ช้ากว่าอัตราที่พิมพ์ได้ตามปกติก่อนถูกทำร้ายเกินกว่า 20 วัน ดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20วันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความร้ายแรงของบาดเจ็บและการประกอบกรณียกิจปกติเกิน 20 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
ผู้เสียหายมีอาชีพพิมพ์ดีด เพียงการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บเป็นเหตุให้ความสามารถในการพิมพ์หย่อนลงกล่าวคือพิมพ์ได้ช้ากว่าอัตราที่พิมพ์ได้ตามปกติก่อนถูกทำร้ายเกินกว่า 20 วันดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20วันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความรุนแรงของการบาดเจ็บและการประกอบกรณียกิจปกติเกิน 20 วันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8)
ผู้เสียหายมีอาชีพพิมพ์ดีด. เพียงการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บเป็นเหตุให้ความสามารถในการพิมพ์หย่อนลง. กล่าวคือพิมพ์ได้ช้ากว่าอัตราที่พิมพ์ได้ตามปกติก่อนถูกทำร้ายเกินกว่า 20 วัน. ดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20วันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่ง เป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้คู่ความเสียหาย ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ้องขอให้โจทก์ชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างพร้อมทั้งดอกเบี้ย โจทก์ให้การต่อสู้ว่า ได้จ่ายเช็คเงินสดชำระหนี้ค่าสิ่งของให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นแล้ว แต่เช็คของโจทก์หลายฉบับรับเงินไม่ได้ จำเลยจึงมอบให้นายวินัยนำเช็คไปแจ้งความ ร้อยตำรวจโทชัยชาญพนักงานสอบสวนได้ให้โจทก์ชำระหนี้จำเลย โดยจำเลยและผู้แทนจำเลยมอบให้ร้อยตำรวจโทชัยชาญเป็นคนกลางรับชำระหนี้แทน โจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยเป็นเงินสด และนางสาวพยุงบุตรสาวโจทก์ได้จ่ายเช็คให้อีก 6 ฉบับ จำเลยหรือผู้แทนจำเลยได้รับเงินไปตามเช็คที่ถึงกำหนดแล้วบางฉบับ จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า โจทก์ไม่เคยออกเช็คชำระหนี้ให้จำเลย จำเลยไม่เคยรู้จักนายวินัย ไม่เคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็ค โจทก์ไม่เคยเอาเช็คของนางสาวพยุงชำระหนี้ จำเลยไม่เคยรับเช็คจากร้อยตำรวจโทชัยชาญ ไม่รู้จักร้อยตำรวจโทชัยชาญ และไม่เคยพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์ ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นพยานนี้เป็นความเท็จ หากศาลหลงเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย ก็อาจทำให้ศาลไม่เชื่อข้อต่อสู้ของโจทก์ว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้วย่อมจะตัดสินให้โจทก์แพ้คดี ฉะนั้นคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพยานจะต้องสาบานตัวก่อนเบิกความ จึงจะเป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานยักยอกน้ำมันราชการ: การกระทำเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
จำเลยเป็นพลทหารเรือประจำการ.มีหน้าที่เป็นพลขับรถยนต์ของราชการทหารเรือ. จึงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการใช้และรักษาน้ำมันรถที่จำเลยทำหน้าที่ขับนั้นด้วย. การที่จำเลยยอมให้บุคคลอื่นดูดเอาน้ำมันในรถไป. แล้วรับเงินจากบุคคลนั้นเป็นค่าตอบแทนเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว. ย่อมเป็นการเบียดบังน้ำมันของทางราชการไปโดยทุจริต. เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2512).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบการยกฟ้องฐานพยายามฆ่าต่อการลงโทษฐานมีอาวุธปืนผิดกฎหมาย ศาลต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา ม.2
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐานแต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมาให้ผู้มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมาดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้วแต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่าเมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้นจึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบของการยกฟ้องในความผิดฐานพยายามฆ่าต่อการลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนที่ศาลชั้นต้นได้ลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง. ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐาน.แต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก. จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า. แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมา.ให้ผู้มีอาวุธปืนโดย.ไม่.รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน90 วัน. โดยไม่ต้องรับโทษ. เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา. และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมา. ดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้ว. แต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่า. เมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืน. ซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น. จึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดของกลางทางศุลกากรและการเรียกร้องคืนเมื่อมีคดีอาญา: ศาลใช้ประมวลกฎหมายอาญา
ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติว่า "สิ่งใด ๆ อันจะพึงต้องริบตามพระราชบัญญัตินี้พนักงานศุลกากร พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจยึดในเวลาใด ๆ และ ณ สถานที่ใด ๆ ก็ได้
สิ่งที่ยึดไว้นั้น ถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิไม่มายื่นคำร้องเรียกเอาภายในกำหนดหกสิบวันสำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด สามสิบวันสำหรับสิ่งอื่นนับแต่วันยึด ให้ถือว่าเป็นสิ่งของที่ไม่มีเจ้าของ และให้ตกเป็นของแผ่นดิน" นั้น ใช้บังคับเฉพาะกรณีการร้องขอคืนของกลางที่ถูกยึดโดยไม่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลเท่านั้น หากพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ประสงค์จะใช้บังคับแก่กรณีที่ได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลด้วย ก็คงจะได้บัญญัติกำหนดระยะเวลาเรียกร้องคืนของกลาง "นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด" ไว้ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1327 วรรคแรก หากถือว่าของกลางตกเป็นของแผ่นดินแล้วพนักงานอัยการโจทก์ก็ไม่จำต้องร้องขอให้ศาลพิพากษาริบของกลางที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ให้ตกเป็นของแผ่นดินอีก
มาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติอันเป็นหลักทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในภาค 1 ของประมวลกฎหมายอาญานี้ ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย เว้นแต่กฎหมายนั้นจะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ดังกล่าวก็มิได้บัญญัติเกี่ยวกับการร้องขอคืนของกลางไว้เป็นอย่างอื่น ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ดังกล่าวก็มิได้บัญญัติเกี่ยวกับการร้องขอคืนของกลางที่มีตัวผู้ต้องหาและมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลไว้ด้วย ฉะนั้นในคดีที่ได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาล และศาลพิพากษาสั่งริบเรือของกลางที่ใช้ในการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 ต้องถือว่าเป็นการริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 วรรคแรก ผู้มีสิทธิเรียกร้องเอาเรือของกลางคืนได้ตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 36
ประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 36 ไม่ขัดกันกับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 3 เพราะใช้บังคับต่างกรณีกัน ดังนี้จะนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 120 ซึ่งบัญญัติไว้ใจความว่า เมื่อใดพระราชบัญญัติศุลกากรแตกต่างกับบทกฎหมายอื่นให้ยกเอาบัญญัติในพระราชบัญญัติศุลกากรขึ้นใช้บังคับในกรณีที่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2512)
of 76