คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความรับผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,971 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22319/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขนส่งทางอากาศ สินค้าเสียหาย และข้อจำกัดความรับผิดตามกฎหมาย
ในการขนส่งสินค้ารายนี้ สินค้าถูกส่งมากับเที่ยวบินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภาเนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิถูกปิดเพราะเหตุประท้วง แล้วส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 4 จากนั้นจำเลยที่ 4 บรรทุกสินค้าที่ได้รับมอบจากสนามบินอู่ตะเภามาที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเก็บไว้ในโกดังของจำเลยที่ 4 และดำเนินพิธีการทางศุลกากรที่สนามบินสุวรรณภูมิ กับแจ้งให้บริษัท ฮ. มารับสินค้า โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 เข้าไปมีส่วนร่วมขนส่งสินค้ากับผู้ขนส่งรายอื่นในส่วนใดส่วนหนึ่ง ทั้งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกใบตราส่งทางอากาศ การบรรทุกสินค้าจากสนามบินอู่ตะเภามายังสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเพียงการขนย้ายสินค้าเพื่อดำเนินพิธีการทางศุลกากรที่สนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น แสดงว่าจำเลยที่ 4 มีหน้าที่เพียงแจ้งการมาถึงของสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งมารับสินค้า ถือไม่ได้ว่าเป็นการเข้ามีส่วนร่วมในการขนส่งทอดใดทอดหนึ่ง
จำเลยที่ 4 ได้รับสินค้าและตรวจพบความเสียหายของกล่องบรรจุสินค้าจึงได้ทำรายงานสินค้าเสียหายเอาไว้ แสดงว่าสินค้าต้องถูกกระแทกได้รับความเสียหายในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งระหว่างการขนส่ง แม้จะไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ชัดเจนว่าสินค้าดังกล่าวได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งของบุคคลใด แต่ได้ความจากพนักงานสำรวจและประเมินความเสียหายว่าเมื่อไปตรวจสอบความเสียหายของสินค้าที่สถานที่รับมอบสินค้าตามคำสั่งให้ส่งสินค้า (Delivery Order) พบสินค้าที่ขนส่งมาโดยเที่ยวบินของจำเลยที่ 3 ได้รับความเสียหาย อันเป็นสินค้าที่จำเลยที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ดูแลทำการขนส่ง เมื่อผู้รับสินค้ายังไม่ยินยอมรับมอบสินค้า ถือได้ว่าสินค้าดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการดูแลของจำเลยที่ 3 ผู้ขนส่ง เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่สินค้าดังกล่าว จำเลยที่ 3 ผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเอง หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 แต่เมื่อมีข้อความระบุข้อจำกัดความรับผิดในการขนส่งทางอากาศของจำเลยที่ 3 ไว้ ซึ่งผู้ส่งหรือผู้แทนได้ลงนามตกลงไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ส่งหรือผู้แทนไม่ได้แจ้งต่อจำเลยที่ 3 ว่าประสงค์จะให้รับผิดตามราคาของที่อ้างว่าเสียหาย ข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 625 ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏในใบตราส่งทางอากาศว่าได้ระบุข้อจำกัดความรับผิดไว้ด้วย จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22318/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเล: การยกเว้นข้อจำกัดความรับผิดต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าพิพาทที่โจทก์รับประกันภัยไว้ที่เกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งทางทะเล โดยมิได้ระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากการที่จำเลยทั้งสาม ผู้ขนส่งหรือตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยทั้งสามกระทำหรืองดเว้นกระทำการโดยมีเจตนาที่จะให้เกิดการเสียหาย หรือโดยละเลย หรือไม่เอาใจใส่ ทั้งที่รู้ว่าการเสียหายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ และจำเลยที่ 3 ทราบราคาของที่ขนส่งตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย จ.5 แล้ว เพื่อให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในความเสียหายแก่โจทก์โดยไม่ให้จำกัดความรับผิดตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 และมาตรา 60 (1) (4) การที่โจทก์อ้างถึงเหตุดังกล่าวในอุทธรณ์เพื่อให้เข้าข้อยกเว้นการจำกัดความรับผิดของจำเลยทั้งสามผู้ขนส่ง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ได้นำพยานมาสืบโต้แย้ง แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้กล่าวหามิได้ยกข้อยกเว้นที่จะทำให้ไม่ให้จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งขึ้นอ้างมาแต่ต้นแล้ว ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งย่อมเป็นไปตามผลของกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19128/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีหลังจำเลยเสียชีวิต: ทายาทต้องรับผิดชอบหน้าที่ตามคำพิพากษาเดิม ไม่ใช่คดีค้างพิจารณา
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วและจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายในระหว่างการบังคับคดี หน้าที่และความรับผิดของจำเลยที่ 1 ย่อมตกแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และ 1600 เพื่อให้การบังคับคดีเสร็จไปเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องคดีค้างพิจารณาที่ศาลจำต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 และ 44 ผู้ร้องจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ และยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีได้ แม้การร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ของผู้ร้อง อาจเป็นไปเพื่อใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งตกทอดแก่ตนในฐานะทายาทก็ตาม แต่การร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะในชั้นบังคับคดีนั้น จำต้องได้ความว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายเกิดขึ้นในชั้นบังคับคดีเสียก่อน เมื่อคำร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 อย่างไร จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 296 ลำพังเพียงเหตุว่าโจทก์ไม่บังคับคดีภายในสิบปี หาก่อให้เกิดสิทธิในการรับมรดกความเพื่อต่อสู้ในชั้นบังคับคดีได้ไม่ ทั้งการบังคับคดีภายในกำหนดระยะเวลาหรือไม่ก็เป็นสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอให้การบังคับคดีสิ้นผลเมื่อล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาสิบปีได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18449/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อู่ซ่อมรถตัดต่อส่วนหัวโดยไม่แจ้งเจ้าของ ถือเป็นการละเมิด ผู้จัดหาอู่ต้องรับผิดร่วม
จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์นำรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุเข้าซ่อมที่อู่ซ่อมรถของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถในเครือของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ทำการซ่อมแซมด้วยการตัดต่อส่วนหัวของรถโดยโจทก์ไม่ทราบและไม่ได้ยินยอมทำให้หมายเลขตัวรถหายไป โจทก์ได้รับความเสียหายรถยนต์ไม่ผ่านการตรวจสภาพและไม่สามารถเสียภาษีประจำปีได้ โจทก์ไม่สามารถใช้สอยรถได้ตามปกติและชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการละเมิดต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอู่ในเครือของจำเลยที่ 2 ซ่อมแซมรถของโจทก์อันเป็นการปฏิบัติตามความผูกพันในการชดใช้ความเสียหายต่อรถยนต์ซึ่งระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องเลือกหาอู่ที่ซ่อมแซมดีเพื่อให้รถสามารถกลับไปใช้งานได้เป็นปกติตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนผิดในการเลือกหาผู้รับจ้างซ่อมรถให้แก่โจทก์ตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831-1832/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขนส่งต่อความเสียหายของสินค้าจากการขนส่งทางเรือ และข้อยกเว้นเหตุสุดวิสัย
คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ขนส่งโดยจำเลยที่ 1 ตกลงรับขนส่งสินค้าพิพาทไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสอง การที่มีผู้ขับเรือนำเรือลำเลียงมารับสินค้าพิพาทเพื่อขนส่งไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสองย่อมเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เมื่อสินค้าพิพาทเสียหายระหว่างการขนส่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาทนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 616
สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนมีว่า จำเลยที่ 1 รับขนส่งสินค้าพิพาทโดยเรือลำเลียงไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสอง แต่ระหว่างการขนส่งมีน้ำไหลเข้าไปในเรือลำเลียงเป็นเหตุให้สินค้าพิพาทซึ่งเป็นเหล็กม้วนเป็นสนิม ได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าเรือมีรอยรั่วบริเวณด้านบนของกราบขวาเรือ ทำให้น้ำเข้าเรือ เป็นเพียงรายละเอียด เพราะแม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบว่าน้ำไหลเข้าไปในเรือลำเลียงได้อย่างไร จำเลยที่ 1 ก็ยังต้องรับผิดตามสภาพแห่งข้อหาดังกล่าว เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์ได้ว่าการที่น้ำไหลเข้าไปในเรือเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่าน้ำไหลเข้าเรือตามรอยรั่วดังกล่าว แต่ไหลเข้าตามรอยรั่วแห่งอื่น ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายของสินค้าเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย ไม่ถือว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังข้อเท็จจริงเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17584/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้ที่ไม่ได้ถูกทำร้ายโดยตรง: กรณีผู้ตายสมัครใจวิวาท
ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย จ. มารดาผู้ตายจึงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคหนึ่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15731/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของแผนฟื้นฟูกิจการต่อความรับผิดของผู้ค้ำประกัน: ศาลเห็นว่าข้อตกลงยกเว้นความรับผิดขัดต่อกฎหมาย
ผลของคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนเป็นเหตุเฉพาะตัวของลูกหนี้เท่านั้น ที่จะหลุดพ้นจากหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้วมาผูกพันตามหนี้ที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ ส่วนบุคคลภายนอกซึ่งต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/60 วรรคสอง คำสั่งของศาลที่เห็นชอบด้วยแผนไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของบุคคลเหล่านั้นในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน และบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดอีกเช่นไร ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง การที่แผนพื้นฟูกิจการกำหนดว่า เจ้าหนี้ตกลงจะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องหรือดำเนินคดีหรือบังคับคดีใด ๆ กับผู้ค้ำประกัน ผู้จำนอง ผู้จำนำ ซึ่งได้ให้ไว้เป็นประกันในภาระหนี้ใด ๆ ของลูกหนี้ตลอดระยะเวลาที่แผนยังคงมีผลใช้บังคับ จึงขัดต่อบทบัญญัติของมาตรา 90/60 วรรคสอง เฉพาะข้อกำหนดส่วนนี้จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แต่ข้อกำหนดดังกล่าวก็มิใช่รายการสำคัญ ทั้ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ก็ได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้แล้วในมาตรา 90/60 วรรคสอง การที่ข้อกำหนดดังกล่าวตกไปจึงไม่กระทบถึงความสมบูรณ์ของแผนที่เหลืออยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15025-15026/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งความรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดหลายคน ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาให้เป็นไปตามสัดส่วนที่เหมาะสม
คดีนี้ ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 กึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่กำหนดให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 4 และที่ 6 รับผิดกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งให้จำเลยที่ 7 รับผิด โจทก์ที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์คัดค้านแต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้หักจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กึ่งหนึ่งตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว ให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 535,000 บาท ต่อโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 535,000 บาท จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยที่ 4 และที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กึ่งหนึ่งแทนที่จะรับผิดเพียงหนึ่งในสี่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเมื่อหนี้ดังกล่าวศาลชั้นต้นแบ่งความรับผิดให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 4 ถึงที่ 6 และที่ 7 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงไม่ใช่การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังกล่าว จึงเป็นผลให้จำเลยที่ 4 และที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เกินไปกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนนี้จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 4 และที่ 6 ฟังขึ้นบางส่วน และปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14429/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนสามัญต้องรับผิดร่วมกันในหนี้ของห้างหุ้นส่วน แม้มีข้อตกลงภายในระหว่างหุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก
โจทก์ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์พื้นฐานเข้ากับชุมสายโทรศัพท์แบบอัตโนมัติของโจทก์ จำเลยทั้งสองตกลงเข้าร่วมงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์พื้นฐานในพื้นที่โทรศัพท์นครหลวงจำนวนสองล้านเลขหมาย โดยจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันจากส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการ เช่น ค่าติดตั้งโทรศัพท์ ค่าเช่าเลขหมายโทรศัพท์ ค่าใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญโดยไม่จดทะเบียน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัด ตามมาตรา 1025 แม้สัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายกิจการจะระบุว่า บรรดาความรับผิดชอบที่จำเลยที่ 2 มีต่อบุคคลภายนอก จำเลยที่ 1 จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ข้อสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่มีผลผูกพันกับโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14209/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ซื้อประมูลต้องตรวจสอบสภาพทรัพย์ด้วยตนเอง เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ต้องรับผิดชอบความบกพร่องในการตรวจสอบ
ตามข้อสัญญาท้ายประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีระบุไว้ว่า ผู้ซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะซื้อตามสถานที่ และแผนที่การไปที่ปรากฏในประกาศ และถือว่าผู้ซื้อได้ทราบถึงสภาพทรัพย์โดยละเอียดครบถ้วนแล้ว ซึ่งหากผู้ร้องทำการตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องผู้ร้องก็สามารถทักท้วงเพื่อให้แก้ไขเสียได้ ไม่มีเหตุผลที่ผู้ร้องจะเสี่ยงเข้าไปสู้ราคาในการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของผู้ร้องเองและถือเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ร้องที่ไม่ทำการตรวจสอบให้ดีเสียก่อน และที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดราคาประเมินที่ดินตารางวาละ 1,500 บาท ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าสูงกว่าราคาประเมินที่แท้จริงคือ ตารางวาละ 500 บาท นั้น ก็ปรากฏว่าราคาประเมินที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นเป็นราคาประเมินที่ดินในปัจจุบัน แต่ราคาประเมินที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นราคาประเมินขณะทำการยึดตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2546 ตามสำเนารายงานการยึด ซึ่งราคาประเมินอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดี ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้
of 498