พบผลลัพธ์ทั้งหมด 990 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4010/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาการประเมินภาษีเงินได้และภาษีการค้า การประเมินเกินกำหนดเวลาเป็นโมฆะ
เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของโจทก์ ปี พ.ศ. 2516 ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินภายในเดือนมีนาคม 2517 ซึ่งเมื่อนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้ยื่นรายการจนถึงวันที่เจ้าพนักงานออกหมายเรียกแล้วเป็นเวลาเกินกว่า 5 ปี การออกหมายเรียกจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินของเจ้าพนักงานจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจศาลชอบที่จะเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์ ปี พ.ศ. 2516เสียได้ ส่วนภาษีการค้าซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายการการค้าเป็นรายเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 84และ 85 ทวิ นั้นปรากฏว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 ของยอดรายรับที่แสดงในแบบแสดงรายการการค้าเจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจทำการประเมินได้ภายในกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าตามมาตรา88 ทวิ(2) การประเมินดังกล่าวจึงไม่เกินกำหนดเวลาตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3941/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดในคดีภาษีอากร ทำให้สืบพยานหลักฐานไม่ได้ ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานวันที่ 14 ธันวาคม 2532โจทก์ได้ทราบล่วงหน้าถึงกำหนดวันนัดชี้สองสถานเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเศษ แต่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคแรก โจทก์มายื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 โดยอ้างเหตุว่า จำวันที่ที่ศาลนัดชี้สองสถานคลาดเคลื่อนไปและเพิ่งค้นพบเอกสารต่าง ๆ ที่จะระบุพยาน ดังนี้ข้ออ้างที่ว่าจำวันที่ที่ศาลนัดชี้สองสถานคลาดเคลื่อนไป เป็นข้อที่ใคร ๆ ก็อ้างขึ้นมาได้ จึงมิใช่ข้อแก้ตัวอันสมควรแก่เรื่องส่วนข้ออ้างที่ว่าเพิ่งค้นพบเอกสารต่าง ๆ ที่จะระบุ ก็ปรากฏว่าตามลักษณะของพยานเอกสารที่อ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่ามีพยานเอกสารนั้น ๆ อยู่ ข้ออ้างของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่ตรงต่อความเป็นจริง ดังนั้น ข้ออ้างตามคำร้องของโจทก์ จึงมิใช่เหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาแห่งข้อกำหนดคดีภาษีอากรได้ จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 วรรคสี่ โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ จำเลยให้การปฏิเสธ หน้าที่นำสืบย่อมตกอยู่แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 พยานหลักฐานที่โจทก์จะนำสืบย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากร และวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 17 ถือได้ว่าโจทก์ไม่อาจสืบพยานหลักฐานได้สมดังคำฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาล: การไม่ปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลาทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 5 เมษายน 2532 อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มีกำหนด 3 วัน หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันอ่านคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 วรรคแรกซึ่งใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฎีกาคือภายในวันที่ 20 เมษายน 2532 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะอุทธรณ์ได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งขยายระยะเวลาอุทธรณ์: ความสำคัญของกำหนดเวลา และอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่5 เมษายน 2532 อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มีกำหนด3 วัน หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันอ่านคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 วรรคแรก ซึ่งใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฎีกาคือภายในวันที่ 20 เมษายน 2532 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะอุทธรณ์ได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3597/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเกินกำหนด: สิทธิไล่เบี้ยผู้สลักหลังสิ้นสุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 990
เช็คให้ใช้เงินเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คระบุวันออกเช็คลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2529 แต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินวันที่ 11 กรกฎาคม 2529 จึงเกินกำหนด 1 เดือนนับแต่วันออกเช็คนั้น ตามที่มาตรา 990 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับไว้ โจทก์จึงสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้สลักหลัง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3490/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่นำเงินค่าธรรมเนียมวางศาลภายในกำหนด แม้ศาลอนุญาตขยายเวลาแล้ว ถือเป็นเหตุไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขอขยายเวลาการนำเงิน ค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลา แต่จำเลยไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนด และได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาเข้ามาอีกซึ่งเป็นวันพ้นกำหนดยื่นอุทธรณ์และวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้ให้แก่โจทก์แล้วโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์พิเศษและเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยายเวลาและไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยไปศาลอุทธรณ์และเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์จำเลยคำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236จำเลยฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีต้องครบถ้วนในคราวเดียว หากประเมินซ้ำต้องไต่สวนใหม่ตามกฎหมาย
การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 20 จะต้องมีการออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการมาไต่สวนตามมาตรา 19 ก่อน และการประเมินเจ้าพนักงานประเมินจะต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ปรากฏจากการไต่สวน ดังนั้น เมื่อพยานหลักฐานที่ปรากฏจากการไต่สวนตามอำนาจในมาตรา19 มีอยู่เท่าใด เจ้าพนักงานประเมินจะต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน แล้วจึงจะมีการแจ้งการประเมินไป มิใช่ว่าจะให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบหลักฐานเป็นส่วน ๆ แล้วทยอยแจ้งการประเมินไปในแต่ละคราวเท่าที่เห็นสมควร หากให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะแจ้งการประเมินหลายครั้งได้ เจ้าพนักงานประเมินก็สามารถทำการประเมินได้อีกโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา ความรับผิดของผู้เสียภาษีก็ไม่มีกำหนดเวลาที่จะสิ้นสุดลงได้ ทั้งการแจ้งการประเมินครั้งแรกยังเป็นการแสดงว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏจากการไต่สวนตามมาตรา 19 ได้มีการพิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าจะมีการประเมินอีกครั้งก็ต้องมีการออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการมาไต่สวนภายในกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการแล้วตามที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ก่อน ไม่อาจที่จะอาศัยหมายเรียกมาไต่สวนครั้งเดียวนั้นเพื่อทำการแจ้งการประเมินอีกต่อไปได้ ดังนั้น การที่จำเลยประเมินครั้งหลังโดยไม่มีการออกหมายเรียกมาไต่สวนตามกำหนดเวลาที่มาตรา 19 กำหนดไว้จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 20 แห่งประมวลรัษฎากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ภูมิลำเนาของจำเลยและกำหนดเวลาการยื่นคำขอพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันยึดทรัพย์ตามมาตรา 208 วรรคหนึ่งตอนท้าย เมื่อมีการส่งคำบังคับโดยเจ้าหน้าที่ศาลให้แก่จำเลยทั้งสองโดยการปิดคำบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม2531 จำเลยทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2531จึงเลยกำหนด 15 วัน นับจากวันที่การส่งคำบังคับมีผลใช้ได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาเอกสารภายในกำหนด
ผู้ร้องยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2533 และทนายของผู้ร้องลงลายมือชื่อทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งในวันที่ 20 ธันวาคม 2533 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 20 ธันวาคม2533 ให้ผู้ร้องจัดการนำส่งสำเนาฎีกาให้ทนายโจทก์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 10 วัน แม้ผู้ร้องมิได้มาฟัง คำสั่งก็ต้องถือว่าผู้ร้องได้ทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง เมื่อผู้ร้องมิได้จัดการนำส่งสำเนาฎีกา ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการยึด/ขายทอดตลาดหลังพ้นกำหนดเวลา – ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นในชั้นศาลสูง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาดเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสองแล้ว โดยมิได้มีคำร้องขอขยายเวลาตามมาตรา 23มาด้วย ปัญหาว่าควรขยายเวลาแก่จำเลยหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจะยกขึ้นมาในชั้นศาลสูงเพื่อให้ขยายเวลาแก่จำเลยหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249