คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 886 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่ชอบหากเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโฆษณาประกาศขายสินค้าจำพวกเครื่องบันทึกภาพ(วีดีโอ) และตลับเทปบันทึกภาพยี่ห้อโซนี่เลียนแบบการโฆษณาของโจทก์เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายเป็นคำฟ้องในเรื่อง จำเลยขายสินค้ายี่ห้อ และชนิดเดียวกับของโจทก์ส่วน ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องว่า โจทก์กลั่นแกล้งใส่ความฟ้อง จำเลยฝ่าฝืนต่อความจริงเป็นการละเมิด ทำให้จำเลยเสียหายต้องเสียค่าจ้างทนายความว่าต่างแก้ข้อกล่าวหา ทำให้จำเลยต้อง เสียชื่อเสียงเกียรติคุณลูกค้าของจำเลยดูถูกเหยียดหยามไม่ยอมซื้อสินค้าของจำเลย ไม่เกี่ยวกับการขายสินค้าตามคำฟ้อง ของโจทก์ เป็นคนละเรื่องกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการสั่งจ่ายเช็คและการบรรยายฟ้องที่ไม่ชัดเจน การพิสูจน์เจตนาต้องมาจากคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยเจตนาทุจริตรู้อยู่แล้วว่าไม่มีเงินในบัญชีพอจ่าย ได้บังอาจลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คหมายความว่ามีเจตนาทุจริตในการสั่งจ่ายเช็ค ไม่มีทางที่จะแปลได้เลยว่ามีเจตนาทุจริตในการห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็ค คำฟ้องเช่นนี้จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด เพราะปรากฏว่าจำเลยได้มีคำสั่งห้ามธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็ค แม้โจทก์จะอ้างถึงกฎหมายและมาตราในกฎหมายมาในฟ้องหรือนำสืบไว้ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการสั่งจ่ายเช็คต้องชัดเจนในฟ้อง คำฟ้องที่ไม่ระบุเจตนาทุจริตในการห้ามจ่ายเช็คถือเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยเจตนาทุจริตรู้อยู่แล้วว่าไม่มีเงินในบัญชีพอจ่าย ได้บังอาจลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คหมายความว่ามีเจตนาทุจริตในการสั่งจ่ายเช็คไม่มีทางที่จะแปลได้เลยว่ามีเจตนาทุจริตในการห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คคำฟ้องเช่นนี้จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดเพราะปรากฏว่าจำเลยได้มีคำสั่งห้ามธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็คแม้โจทก์จะอ้างถึงกฎหมายและมาตราในกฎหมายมาในฟ้องหรือนำสืบไว้ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องระบุเจ้าของรถเพียงพอ แม้ไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ การใช้รถโดยประมาทไม่ถือเป็นความผิดตามกรมธรรม์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุซึ่งมีลูกจ้างเป็นผู้ขับขี่และกล่าวหาว่ารถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกข้าวมีน้ำหนักรวมรถยนต์ประมาณ 27 ตันครึ่งแล่นผ่านสะพานไม้ชั่วคราวซึ่งโจทก์มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและได้ติดตั้ง ป้ายห้ามรถที่มีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่า 10 ตันแล่นผ่านไว้แล้วทั้งนี้ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหาย แก่ผู้อื่น เป็นเหตุให้สะพานไม้ชั่วคราวยุบพังชำรุดใช้การไม่ได้เป็นคำฟ้อง ที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420,421,437 นั้นเป็นการบรรยายฟ้องให้ชัดยิ่งขึ้นอีกว่าจำเลยในฐานะเจ้าของ และ ผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา 437และการฟ้องให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 437เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้ขับรถยนต์ว่าเป็นใครก็ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ตามคำให้การของจำเลยและจำเลยร่วมไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุคดีจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าขณะเกิดเหตุละเมิดจำเลยได้อยู่หรือนั่งมาในรถยนต์คันเกิดเหตุหรือไม่ จำเลยร่วมไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยไม่ปฏิบัติตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.10 ให้เป็นประเด็นไว้อย่างชัดแจ้งจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในข้อนี้ การใช้รถยนต์ในทางที่ผิดกฎหมายที่จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนั้นมีความหมายว่าเป็นการใช้รถเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายโดยตรงเช่นใช้รถเป็นพาหนะไปปล้นหรือจงใจบรรทุกของหนีภาษีเป็นต้นแต่การใช้โดยผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกยังเรียกไม่ได้ว่าใช้รถยนต์ใน ทางที่ ผิดกฎหมายจำเลยร่วมจึงไม่พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นนอกฟ้อง: ศาลมิอาจวินิจฉัยประเด็นความประมาทเลินเล่อของผู้เลี้ยงดู หากมิได้ยกขึ้นเป็นประเด็นในคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า พ. บุตรโจทก์ถูกจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะบิดามารดาผู้ปกครองจำเลยที่ 3 และในฐานะที่เป็นผู้รับจ้างเลี้ยงดู พ. ไม่ระมัดระวังตามหน้าที่และวิชาชีพปล่อยปละละเลยให้ พ. ถูกทำร้าย ดังนี้ ข้อสำคัญอันเป็นมูลให้โจทก์ฟ้องก็คือจำเลยที่ 3 ทำร้าย พ. เท่านั้นหาได้เลยไปถึงกรณี พ.หกล้มเองไม่ประเด็นที่ว่าพ. หกล้มจนขาหักเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะผู้รับจ้างเลี้ยงดูประมาทเลินเล่อหรือไม่จึงไม่มี การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พ. หกล้มเอง มิใช่ถูกจำเลยที่ 3 ทำร้าย แต่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังดูแลรักษา พ. ตามควรแก่หน้าที่ จึง เป็นการพิพากษาในประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ต้องมีรายละเอียดของข้อความเท็จและองค์ประกอบความผิดอาญา
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ข้อความอันเป็น เท็จที่แจ้งจะต้องเกี่ยวกับความผิดอาญาด้วย แต่คำฟ้องของโจทก์ระบุเพียงว่า จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ได้มาขอยืมเครื่องเพชรพลอยต่าง ๆคิดเป็นมูลค่าถึง 166,900 บาท แล้วหายเงียบไปเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเกี่ยวกับความผิดอาญาอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิด คำฟ้องของโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 มิได้บรรยายว่า ข้อความที่จำเลยนำส่งลงพิมพ์โฆษณามีว่าอย่างไรทั้งมิได้แนบข้อความในหนังสือพิมพ์ที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้องด้วย จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3775/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในความผิดหลายกรรม แม้โจทก์มิได้อ้างมาตรา 91 ในคำฟ้อง
แม้ตามฟ้องของโจทก์มิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน และทางพิจารณาของศาลข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมจริงดังนี้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปได้เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มิใช่บทบัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิดซึ่งโจทก์จะต้องกล่าวอ้างมาในคำขอท้ายฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) และกรณีมิใช่ศาลลงโทษจำเลยเกินคำขอตามมาตรา 192 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3234/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของคำฟ้องอาญาฐานปลอมเอกสารและปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ศาลต้องระบุรายละเอียดสิ่งของที่เกี่ยวข้องและหน้าที่ของจำเลย
คำบรรยายฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานปลอมเอกสารไม่ปรากฏข้อความพอที่จะให้จำเลยรู้ว่าเอกสารที่จำเลยได้แก้ไขวันเดือนปีเกิดของเด็กหญิงน.นั้น เป็นเอกสารอะไร ถือว่าฟ้องโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ศาลชั้นต้นก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานออกใบสุทธิให้แก่เด็กหญิงน.ให้ผิดไปจากความเป็นจริงเป็นการปฏิบัติงานโดยมิชอบ อันเป็นการกระทำผิดต่อตำแหน่งโดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้สนับสนุน พอที่จำเลยเข้าใจได้แล้วว่าการออกใบสุทธิเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1จึงครบองค์ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2673/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องแจ้งความเท็จและเอกสารราชการไม่ขัดแย้งกัน แต่ขาดอายุความตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดเป็นสองตอนคือ การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับสัญชาติของ จำเลยในการยื่นคำขอรับบัตรประจำตัวประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ตอนหนึ่ง และการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวลงในเอกสารราชการตามแบบบ.ป.1 ตามมาตรา 267 อีกตอนหนึ่ง ข้อหาความผิดทั้งสองตอนตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันและอาจเกิดขึ้นในคราวเดียวกันได้ หาเป็นการขัดแย้งกันไม่ และข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็เป็นไปโดยแจ้งชัดพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดย โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบ
ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2505 มาตรา 17 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม2519 โจทก์ นำตัวจำเลยมายื่นฟ้องต่อศาลในวันที่18 พฤษภาคม 2526 เกินกำหนดห้าปีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2222/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างกฎหมายผิดในคำฟ้อง และการลงโทษผู้ร่วมกระทำผิดโดยไม่ระบุบทกฎหมายในคำพิพากษา
บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 อันเป็นกฎหมายที่ถูกต้องแต่ระบุขอไว้ท้ายฟ้องเป็นพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2525 ไม่ตรงกับคำบรรยายถึงกฎหมายที่อ้างอิงไว้ในคำฟ้องและพระราชบัญญัติยาเสพติดตาม พ.ศ.ที่โจทก์ขอให้ลงโทษก็ไม่มีเป็นการผิดพลาดไป ถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์อ้างกฎหมายผิด ศาลล่างทั้งสองมีอำนาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 อันเป็นกฎหมายที่ถูกต้องได้กรณีไม่เป็นการอ้างกฎหมายที่ไม่มีอยู่จริงมาใช้บังคับ
ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันกระทำผิดโดยมิได้กล่าวอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นั้น ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องและอ้างบทกฎหมายมาตรานี้ท้ายฟ้อง แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันแล้ว แม้ศาลล่างทั้งสองจะไม่ได้กล่าวอ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาในคำพิพากษา ก็ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
of 89