คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ดุลพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 923 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์มิได้ขอให้ศาลสั่งจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลมีดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
การที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 วรรคสอง ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์มิให้โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนด แต่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่อยู่ในดุลพินิจ เมื่อโจทก์ยื่นคำขอและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้ว มาตรา 198 วรรคสาม ให้ศาลกำหนดวันสืบพยานส่งให้จำเลยทราบ
ศาลได้ประกาศวันนัดให้จำเลยยื่นคำให้การและวันนัดสืบพยานโจทก์ทางหนังสือพิมพ์แล้ว และโจทก์ได้มาดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัดทุกครั้ง แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวนัดหนึ่งแล้วโจทก์ก็อาจมีคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลมีดุลพินิจให้ดำเนินกระบวนการต่อไปได้หากโจทก์แสดงเจตนาดำเนินคดี
การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสองกำหนดว่าถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การสิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้นมีวัตถุประสงค์มิให้โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนด แต่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลเมื่อโจทก์ได้มาดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัดทุกครั้ง แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป แม้ศาลจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวไปบ้างแล้วโดยโจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การก่อน โจทก์ก็อาจมีคำขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การในภายหลังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดยื่นคำให้การและผลกระทบต่อการดำเนินคดี: ศาลมีดุลพินิจในการจำหน่ายคดี
การที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 วรรคสอง ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์มิให้โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนด แต่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่อยู่ในดุลพินิจ เมื่อโจทก์ยื่นคำขอและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้ว มาตรา 198วรรคสาม ให้ศาลกำหนดวันสืบพยานส่งให้จำเลยทราบ ศาลได้ประกาศวันนัดให้จำเลยยื่นคำให้การและวันนัดสืบพยานโจทก์ทางหนังสือพิมพ์แล้ว และโจทก์ได้มาดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัดทุกครั้ง แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวนัดหนึ่งแล้วโจทก์ก็อาจมีคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการวินิจฉัยข้อไม่รับฟ้อง, ความเป็นอิสระของการพิจารณาคดี, และดุลพินิจในการลดโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เพียงขอลดมาตราส่วนโทษโดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง ปัญหานี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา การพิพากษาคดีอาญา หาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น ดังนั้นเมื่อ ว. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกับจำเลยถูกฟ้องในคดีอื่นและศาลพิพากษายกฟ้องเพราะไม่มีประจักษ์พยาน จึงไม่ผูกพันศาลว่าจะต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีนี้ด้วย แม้จำเลยจะกระทำผิดขณะมีอายุ 18 ปี แต่พฤติกรรมที่จำเลยร่วมกันวางแผนกระทำความผิดและดำเนินการตามแผนที่วางไว้ส่อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดชอบเสมือนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ศาลใช้ดุลพินิจไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาประนีประนอมยอมความสูงเกินไป ศาลแรงงานมีอำนาจลดได้ตามสมควร
ข้อตกลงตาม สัญญาประนีประนอมยอมความ ระหว่างโจทก์ จำเลยที่กำหนดว่า หากจำเลยผิดสัญญาโดย ทำงานไม่ครบตาม ระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา จำเลยจะต้อง ชดใช้เงินตาม จำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาให้โจทก์ ข้อตกลงดังนี้เป็นเรื่องเบี้ยปรับ หากมีจำนวนสูงเกินไป ศาลมีอำนาจใช้ ดุลยพินิจ กำหนดลดลงตาม สมควรได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งริบของกลางในคดีอาญา: ดุลพินิจและการใช้ข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา
การริบของกลางเป็นการริบโดย อาศัยอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 33(1)ซึ่ง เป็นบทบัญญัติทั่วไปนำมาใช้ กับความผิดตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ด้วย ตาม มาตรา 17 แห่ง ป.อ. ซึ่ง อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งริบของกลางหรือไม่ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีเพื่อประกอบการใช้ ดุลพินิจ ในการสั่งริบของกลาง โดย อาศัยข้อเท็จจริงซึ่ง เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปประกอบคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจโยกย้ายลูกจ้าง: นายจ้างมีอำนาจใช้ดุลพินิจโยกย้ายได้หากไม่ขัดต่อสัญญาจ้าง
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างห้ามเปลี่ยนแปลตำแหน่งหรือหน้าที่ของลูกจ้าง นายจ้างย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งลูกจ้างเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ อันเป็นอำนาจของนายจ้างโดยเฉพาะได้ และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างอันไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับการร่วมกระทำความผิด
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ แม้จำเลยจะฎีกาอ้างอิงข้อกฎหมายมาประกอบ แต่เป็นข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกาเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืนว่าเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม และการใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษ
แม้ในคำฟ้องโจทก์จะบรรยายการกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง และฐานพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนนั้นไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะเป็นวันเวลาเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวสามารถแยกต่างหากจากกันได้ จึงมิใช่ความผิดกรรมเดียวแต่เป็นความผิดสองกรรม
จำเลยกระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งอาวุธปืนที่จำเลยพกพาไปก็ยังเป็นอาวุธปืนชนิดทำเองและไม่มีหมายเลขทะเบียนประจำอาวุธปืนอีกด้วย แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กับได้ให้การรับสารภาพมาโดยตลอด และหากจะฟังตามข้ออ้างของจำเลยว่าจำเลยเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจนได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน กรรมการวัด และผู้สื่อข่าวสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กับต้องมีภาระเลี้ยงดูครอบครัว ถ้าจำเลยถูกจำคุก ครอบครัวของจำเลยจะได้รับความลำบากเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษให้จำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4889/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการได้รับเงินสมทบกองทุนจากนายจ้างเมื่อออกจากงาน ลดคน, ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต: ดุลพินิจนายจ้าง
ข้อบังคับตามระเบียบว่าด้วยกองทุนเงินสะสมที่กำหนดสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างในอันที่จะได้รับเงินสมทบส่วนของบริษัทจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างที่มีข้อความว่า "ส่วนที่จะได้รับจากบริษัท พนักงานที่เป็นสมาชิกถ้าออกจากงานก่อนเกษียณอายุ หากมีอายุงาน 2 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสะสมของตนคืนพร้อมดอกเบี้ยและเงินสมทบจากบริษัทพร้อมดอกเบี้ยตามสัดส่วนดังนี้ ฯลฯ อายุงานครบ 7 ปี ส่วนที่บริษัทสมทบ 70 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ทั้งนี้ไม่รวมถึงพนักงานที่ต้องออกจากงานเนื่องจากการลดคนทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต บริษัทอาจสมทบให้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่นำอายุงานมาใช้เป็นเงื่อนไข" เป็นข้อบังคับที่กำหนดเป็นการให้ดุลพินิจของจำเลยที่จะจ่ายเงินสมทบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ได้โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องอายุงานถ้าเป็นการออกจากงานเนื่องจากกรณีตามที่กำหนดไว้คือ การลดคนทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต มิใช่เป็นข้อกำหนดที่เป็นบทบังคับว่าถ้าโจทก์ออกจากงานด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว จำเลยจะต้องจ่ายเงินสมทบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะคำว่า "อาจสมทบให้" นั้น ไม่อาจจะแปลไปในทางที่เป็นผลบังคับฝ่ายที่ปฏิบัติให้ต้องปฏิบัติเป็นการแน่นอนดังนั้นการที่โจทก์ซึ่งมีอายุงานครบ 7 ปี ออกจากงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างเพราะต้องการลดคน สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินสมทบจากจำเลยตามระเบียบดังกล่าวจึงมีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์
of 93