พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6957/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง, อายุความ, และการรับฟังพยานหลักฐานในคดีกู้ยืมเงิน
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนเพราะสัญญากู้ยืมเงิน 80,000 บาท มิได้มีการกู้ยืมเงินกันจริงมูลหนี้เดิมเป็นการซื้อขายทองรูปพรรณ หาใช่เป็นการกู้ยืมเงินไม่นั้น เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา
จำเลยที่ 2 ยอมรับไว้ว่าได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 อีกทั้งจำเลยที่ 2 ได้เสียค่าอ้างเอกสารตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.4 แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารเรื่องเดียวกันและคู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 91 ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวจึงชอบแล้ว
จำเลยที่ 2 ยอมรับไว้ว่าได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 อีกทั้งจำเลยที่ 2 ได้เสียค่าอ้างเอกสารตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.4 แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารเรื่องเดียวกันและคู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 91 ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6957/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง และการรับฟังพยานหลักฐานในสัญญาค้ำประกันที่มีการเสียค่าอ้าง
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนเพราะสัญญากู้ยืมเงิน 80,000 บาท มิได้มีการกู้ยืมเงินกันจริงมูลหนี้เดิมเป็นการซื้อขายทองรูปพรรณ หาใช่เป็นการกู้ยืมเงินไม่นั้น เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา
จำเลยที่ 2 ยอมรับไว้ว่าได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 อีกทั้งจำเลยที่ 2 ได้เสียค่าอ้างเอกสารตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.4 แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารเรื่องเดียวกันและคู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 91 ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวจึงชอบแล้ว
จำเลยที่ 2 ยอมรับไว้ว่าได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 อีกทั้งจำเลยที่ 2 ได้เสียค่าอ้างเอกสารตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.4 แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารเรื่องเดียวกันและคู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 91 ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานสนับสนุนการกระทำผิดร่วมกัน
พยานโจทก์ที่รู้เห็นและเป็นพยานในคดีเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่จับกุมและปราบปรามการกระทำความผิดตามอำนาจหน้าที่ของตน หากเบิกความบิดเบือนจากข้อเท็จจริงอาจมีความผิดและได้รับโทษ จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามสัตย์จริงส่วนการมีสายลับมาช่วยในการล่อซื้อด้วยเป็นแต่เพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการสืบหาพยานหลักฐาน ตามอำนาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมพร้อมด้วยพยานหลักฐาน แม้จะไม่นำตัวสายลับมาสืบเนื่องจากเพื่อประโยชน์แก่ราชการในภายหน้าหรือเพื่อความปลอดภัยของสายลับ ก็รับฟังพยานบุคคลและของกลางที่เกี่ยวข้องกับสายลับนั้นได้ว่ามีสายลับช่วยในการล่อซื้อจริงพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานแน่นชัด ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลล่าง
พยานโจทก์ที่รู้เห็นและเป็นพยานในคดีเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่จับกุมและปราบปรามการกระทำความผิดตามอำนาจหน้าที่ของตน หากเบิกความบิดเบือนจากข้อเท็จจริงอาจมีความผิดและได้รับโทษ จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามสัตย์จริงส่วนการมีสายลับมาช่วยในการล่อซื้อด้วยเป็นแต่เพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการสืบหาพยานหลักฐาน ตามอำนาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมพร้อมด้วยพยานหลักฐาน แม้จะไม่นำตัวสายลับมาสืบเนื่องจากเพื่อประโยชน์แก่ราชการในภายหน้าหรือเพื่อความปลอดภัยของสายลับ ก็รับฟังพยานบุคคลและของกลางที่เกี่ยวข้องกับสายลับนั้นได้ว่ามีสายลับช่วยในการล่อซื้อจริงพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6918/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงโดยครูผู้ดูแล พยานหลักฐานสนับสนุนคำเบิกความผู้เสียหายเพียงพอ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษา
ผู้เสียหายเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลยย่อมมีความคุ้นเคยและจดจำบุคลิกลักษณะของจำเลยได้เป็นอย่างดี ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงหากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริงผู้เสียหายคงไม่กล้ายืนยันเรื่องดังกล่าวซึ่งเป็นสิ่งน่าอับอายและเสียหายต่อชื่อเสียงอันเป็นผลร้ายต่อผู้เสียหายเอง ทั้งผู้เสียหายก็เบิกความไปตามลำดับขั้นตอนและสมเหตุผล น่าเชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามความเป็นจริง
ตามสูตรสำเร็จเวลาดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าในแต่ละวันดวงจันทร์จะขึ้นจากพื้นพิภพเวลาเท่าไร และจะขึ้นช้าลงวันละ 48 นาทีทั้งดวงจันทร์จะตกลงหลังจากขึ้นแล้ว 12 ชั่วโมง วันเกิดเหตุวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ ตามสูตรสำเร็จดังกล่าวดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพเวลา 11.36 นาฬิกาและดวงจันทร์ตกลงพื้นเวลา 23.36 นาฬิกา ช่วงวันเวลาเกิดเหตุวันที่ 22,23 และ 24 ตุลาคม 2536 ดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพแล้วทั้งสิ้น ขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลากลางคืนย่อมมีแสงจันทร์ดังที่ผู้เสียหายเบิกความ ฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 22,23 และ 24 ตุลาคม 2536จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งอายุไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี รวมสองกระทงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดสามกระทงแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้โทษจึงให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด กรณีเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218
ตามสูตรสำเร็จเวลาดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าในแต่ละวันดวงจันทร์จะขึ้นจากพื้นพิภพเวลาเท่าไร และจะขึ้นช้าลงวันละ 48 นาทีทั้งดวงจันทร์จะตกลงหลังจากขึ้นแล้ว 12 ชั่วโมง วันเกิดเหตุวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ ตามสูตรสำเร็จดังกล่าวดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพเวลา 11.36 นาฬิกาและดวงจันทร์ตกลงพื้นเวลา 23.36 นาฬิกา ช่วงวันเวลาเกิดเหตุวันที่ 22,23 และ 24 ตุลาคม 2536 ดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพแล้วทั้งสิ้น ขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลากลางคืนย่อมมีแสงจันทร์ดังที่ผู้เสียหายเบิกความ ฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 22,23 และ 24 ตุลาคม 2536จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งอายุไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี รวมสองกระทงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดสามกระทงแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้โทษจึงให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด กรณีเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6869/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานทางอ้อมเพื่อพิสูจน์การข่มขู่ในการเจรจาหนี้สิน แม้ขาดพยานรู้เห็น
แม้ขาดประจักษ์พยานที่รู้เห็นการข่มขู่ในขณะเจรจาแต่พยานหลักฐานประกอบเหตุการณ์หลังจากเจรจาอันได้แก่บันทึกและเช็คที่ตรวจค้นและยึดได้จากจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาซึ่งสอดคล้องตรงกันกับที่โจทก์ร่วมได้ให้การไว้เป็นข้อสนับสนุนให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า คำของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้นตรงตามความเป็นจริงจำเลยที่ 1 เองก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยรับสารภาพชั้นจับกุมตามข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานตำรวจที่แจ้งแก่จำเลยที่ 1 หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ร่วมแล้ว ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อหาตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1ไม่สามารถหักล้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและคำเบิกความสอดคล้อง, การยืนยันตัวผู้ต้องหาจากผู้เสียหาย
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนต่างไม่เคยรู้จักจำเลยและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะให้การปรักปรำจำเลยทั้งจับจำเลยกับพวกได้ในเวลาใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุลักษณะของจำเลยกับพวกสีเสื้อผ้าหมวกที่พบอยู่กับจำเลยล้วนตรงกับที่ผู้เสียหายและธ.ได้แจ้งความไว้สภาพรถที่จำเลยขับขี่ตรงกับสภาพรถที่ผู้เสียหายและธ. ได้แจ้งไว้ด้วยแม้จำเลยนำสืบอ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายชี้ตัวหลายครั้งแต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายตอบโจทก์ถามติงว่าครั้งแรกที่ไปดูเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าให้ไปดูก่อนยังไม่ต้องบอกว่าใช่หรือไม่เพราะไม่ต้องการให้ชี้ต่อหน้าคนร้ายแต่มาบอกภายหลังดูคนร้ายเสร็จแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนประสงค์ให้ผู้เสียหายมีความแน่ใจเสียก่อนจึงค่อยชี้ตัวจำเลยหาใช่เรื่องที่ผู้เสียหายเกิดความลังเลใจแต่ประการใดไม่พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ได้ร่วมกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอาวุธปืนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ไม่มีของกลาง ศาลใช้พยานหลักฐานอื่นพิพากษาได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่ากับศาลชั้นต้นยกฟ้องในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีก
จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลาง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา7, 72 วรรคสาม
จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลาง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา7, 72 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่มีหลักฐานอาวุธปืนโดยตรง ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานอื่นประกอบได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม เท่ากับศาลชั้นต้นยกฟ้องในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีก จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลางแต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอและคำรับสารภาพเกิดจากถูกขู่เข็ญ ศาลยกฟ้องคดีอาญา ฐานสงสัยว่าจำเลยกระทำผิด
โจทก์มีประจักษ์พยานมาเบิกความเป็นพยาน4ปากแต่มีบิดาผู้ตายเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายส่วนพยานนอกนั้นจำคนร้ายไม่ได้แต่คำเบิกความของบิดาผู้ตายขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่ระบุว่าไม่เห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายยิงผู้ตายอีกทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานอื่นก็เป็นคำบอกเล่าที่เป็นพิรุธยิ่งกว่าที่เบิกความในชั้นศาลประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นคำรับสารภาพที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจใช้ยันจำเลยทั้งสองไม่ได้พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่