พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6962/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทางสาธารณะ: การพิสูจน์ทางพิพาทและการระบุความกว้างเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดี
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ เพียงใด ประเด็นหลังเป็นข้อกฎหมายสำคัญในการชี้ขาดตัดสินคดี แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ชัดแจ้งทั้งศาลอุทธรณ์ก็มิได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นพิจารณาอย่างชัดเจน ศาลฎีกาจึงกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น หากทางพิพาทเป็นทางสาธารณะและโจทก์ใช้ร่วมกับประชาชนอื่น ๆ แม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณะอื่นด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองปิดกั้นทางพิพาท โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าทางสาธารณะอันเป็นทางพิพาทกว้าง 4 เมตรยาวตลอดแนว และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้โจทก์ชนะคดี แต่มิได้ระบุความกว้างของทางพิพาทจึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดแจ้งโดยให้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร
เกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น หากทางพิพาทเป็นทางสาธารณะและโจทก์ใช้ร่วมกับประชาชนอื่น ๆ แม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณะอื่นด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองปิดกั้นทางพิพาท โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าทางสาธารณะอันเป็นทางพิพาทกว้าง 4 เมตรยาวตลอดแนว และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้โจทก์ชนะคดี แต่มิได้ระบุความกว้างของทางพิพาทจึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดแจ้งโดยให้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6962/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทางสาธารณะ: การพิสูจน์ทางพิพาทและการระบุความกว้างเพื่อความชัดเจนในการบังคับคดี
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ เพียงใด ประเด็นหลังเป็นข้อกฎหมายสำคัญในการชี้ขาดตัดสินคดี แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ชัดแจ้งทั้งศาลอุทธรณ์ก็มิได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นพิจารณาอย่างชัดเจน ศาลฎีกาจึงกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น หากทางพิพาทเป็นทางสาธารณะและโจทก์ใช้ร่วมกับประชาชนอื่น ๆ แม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณะอื่นด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองปิดกั้นทางพิพาท โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าทางสาธารณะอันเป็นทางพิพาทกว้าง 4 เมตรยาวตลอดแนว และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้โจทก์ชนะคดี แต่มิได้ระบุความกว้างของทางพิพาทจึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดแจ้งโดยให้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร
เกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น หากทางพิพาทเป็นทางสาธารณะและโจทก์ใช้ร่วมกับประชาชนอื่น ๆ แม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณะอื่นด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองปิดกั้นทางพิพาท โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าทางสาธารณะอันเป็นทางพิพาทกว้าง 4 เมตรยาวตลอดแนว และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้โจทก์ชนะคดี แต่มิได้ระบุความกว้างของทางพิพาทจึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดแจ้งโดยให้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2540 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงอำนาจพิเศษในคดีบังคับคดีและการฟ้องร้องสิทธิในที่ดิน การสันนิษฐานความเป็นบริวารไม่ใช่การตัดสิทธิ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 จัตวา (3)ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้หากไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในแปดวันนับแต่วันปิดประกาศให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้นไม่ได้มีผลเด็ดขาดเป็นการตัดสิทธิห้ามผู้นั้นมิให้ฟ้องร้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในภายหลังว่าที่ดินนั้นเป็นตน และเมื่อมิได้ร้องเข้ามาในคดีก็ย่อมมิได้อยู่ในฐานะคู่ความในคดีดังกล่าว จึงไม่ผูกพันในผลแห่งคดีที่จะต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ว่าจะด้วยเรื่องฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงอำนาจพิเศษในคดีบังคับคดีและการไม่ยื่นคำร้องคัดค้านผลของการสันนิษฐานว่าเป็นบริวารลูกหนี้
จำเลยเป็นฝ่ายชนะในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบ.กับพวกให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินพิพาทต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยังที่ดินพิพาทและแจ้งให้โจทก์ในฐานะบริวารของบ. กับพวกรื้อถอนพืชผลอาสินต่างๆออกไปจากที่ดินโจทก์อ้างว่าที่ดินเป็นของโจทก์และฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องดังนี้รูปคดีต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296จัตวา(3)แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้หากไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้นหาได้มีผลเด็ดขาดเป็นการตัดสิทธิห้ามห้องร้องภายหลังไม่และเมื่อโจทก์มิได้ร้องเข้ามาในคดีโจทก์ย่อมมิได้อยู่ในฐานะคู่ความในคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันในผลแห่งคดีต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ว่าจะด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6808/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความยังคงมีผลผูกพัน แม้มีการตกลงเพิ่มเติม หากฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา การตกลงเดิมยังใช้ได้
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้นำที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทพร้อมบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขาย โดยโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ซื้อเองหรือนำบุคคลอื่นมาซื้อก็ได้ ฝ่ายใดให้ราคาสูงสุดให้ขายให้แก่ฝ่ายที่ให้ราคาสูงสุดไป และให้ขายให้เสร็จสิ้นภายในปี 2536 หากขายไม่ได้ภายในปี 2536 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 นำที่ดินและบ้านดังกล่าวมาประมูลกันเองก่อน หากประมูลกันเองไม่ได้ ขอให้ศาลนำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด การที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาผู้ซื้อบ้านและที่ดินได้ จึงตกลงกันใหม่ว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000 บาท โดยโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้ต่อกันเท่านั้น และการตกลงกันครั้งหลังนี้ไม่มีข้อความตอนใดให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดที่ตกลงกันไว้ได้โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้อีก และโจทก์จำเลยยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6404/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยการวางทรัพย์และการถอนการบังคับคดี การชำระหนี้ครบถ้วนสมบูรณ์ย่อมยุติการบังคับคดี
คำบังคับที่ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายใน 30 วัน เป็นกำหนดเวลาที่ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระหนี้เอง หากไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์ย่อมร้องขอให้ใช้วิธีการบังคับยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองได้ และแม้จำเลยไม่ชำระหนี้จนพ้นกำหนดตามคำบังคับและ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้เข้ายึดทรัพย์สินแล้วก็ไม่ปิดทางให้จำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้ด้วยความสมัครใจ การที่จำเลยที่ 1ยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ไม่ต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไป ไม่มีเหตุที่โจทก์จะปฏิเสธการรับรถยนต์ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้สองรายการ คือ คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ ราคากับจำเลยทั้งสองต้องชำระค่าเสียหายจำนวนหนึ่งการบังคับคดีโจทก์ต้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นอันดับแรก และยึดทรัพย์สินอื่นเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้เงินตามรายการหลัง โจทก์ไม่ได้นำยึดรถยนต์เพียงแต่นำยึดที่ดินเพื่อหวังขายทอดตลาดชำระหนี้เงิน ต่อมาจำเลยที่ 1นำรถยนต์ไปคืนให้โจทก์โดยวางต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้รถยนต์แล้ว ข้อที่ว่าหากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาจึงไม่เกิดขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อและค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางแม้เป็นการชำระหนี้หลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี ก็ไม่มีเหตุที่จะขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไปอีก เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6402/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีที่ไม่บริบูรณ์ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ทำให้ใช้ยันต่อ จ.พ.ท. ไม่ได้
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายเงินแล้วเสร็จ และได้โอนเงินของจำเลยที่เหลือ ตามที่โจทก์ในคดีนี้ขออายัดมาไว้ในคดีนี้เมื่อภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดและเพิ่งมีการส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้เมื่อเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2แล้ว ดังนี้ เมื่อการบังคับคดีแพ่งเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 จึงใช้ยันแก่ จ.พ.ท.ของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 จ.พ.ท.จึงมีอำนาจจัดการเงินที่เหลือดังกล่าวรวมเข้าไปไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ โจทก์คดีนี้จะขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งให้โอนเงินที่ส่งมาตามที่อายัดไปไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในคดีล้มละลายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6402/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการคุ้มครองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อคดีบังคับคดียังไม่บริบูรณ์
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายเงินแล้วเสร็จ และได้โอนเงินของจำเลยที่เหลือ ตามที่โจทก์ในคดีนี้ขออายัดมาไว้ในคดีนี้เมื่อภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดและเพิ่งมีการส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้เมื่อเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 แล้ว ดังนี้ เมื่อการบังคับคดีแพ่งเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2จึงใช้ยันแก่ จ.พ.ท.ของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 110 จ.พ.ท.จึงมีอำนาจจัดการเงินที่เหลือดังกล่าวรวมเข้าไปไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ โจทก์คดีนี้จะขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งให้โอนเงินที่ส่งมาตามที่อายัดไปไว้ในกองทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 2 ในคดีล้มละลายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6194/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับความรับผิดจากการชำระหนี้ร่วมกัน แม้ชนะคดีฎีกาแต่ไม่มีประโยชน์ในการบังคับคดี
โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อปรากฎว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนั้น ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ต้องร่วมรับผิดด้วยนั้นจึงได้ระงับสิ้นไปโดยการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว แม้โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกาก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ในอันที่จะบังคับเอาสิ่งใดจากจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้อีก จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6176/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมดอายุความบังคับคดี ฟ้องล้มละลายไม่ได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์วันที่ 14 มิถุนายน 2528 โจทก์ชอบที่จะร้องขอบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 271แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529 และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 19 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์2529 และวันที่ 27 เมษายน 2532 ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้นำทรัพย์ที่ยึดออกขายทอดตลาดก็ตาม ก็เป็นขั้นตอนของการดำเนินการบังคับคดี เมื่อหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีเสียภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดี แก่จำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจนำหนี้ที่พ้นกำหนดเวลาบังคับคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายได้