คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 831 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052-1055/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีแย่งการครอบครอง: การโต้เถียงวันถูกแย่งการครอบครองมีผลต่ออายุความ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง เมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 มกราคม 2515 ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปีตามกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512 ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดี เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่ นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีระหว่างบุตรกับผู้จัดการมรดก: ไม่ขัดมาตรา 1534 หากพิพาทเกี่ยวกับกองมรดก
บุตรเป็นโจทก์ ฟ้องมารดาในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นจำเลยได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2947/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดี: ผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิเรียง/แต่งคำฟ้องแทนโจทก์ได้ แม้ไม่ใช่ทนายความ
ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอยู่ในฐานะคู่ความซึ่งมีอำนาจยื่นคำฟ้องได้จึงชอบที่จะเรียงหรือแต่งคำฟ้อง รวมทั้งลงชื่อเป็นโจทก์ในคำฟ้องแทนโจทก์ได้ด้วย หาจำต้องมอบอำนาจให้ทนายความเรียงหรือแต่งคำฟ้องให้อีกต่อหนึ่งไม่ ฉะนั้น คำฟ้องของโจทก์ซึ่งผู้รับมอบอำนาจลงชื่อเป็นผู้เรียงจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่กระทบการฟ้องคดี และหลักการเพิ่มลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
การจับกุมกับการสอบสวนเป็นการดำเนินการคนละตอนกันเมื่อการสอบสวนได้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ถึงแม้การจับกุมจะมิชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก หาทำให้กระทบกระเทือนถึงการฟ้องคดีอาญาไม่
คดีที่มีกรณีทั้งต้องเพิ่มโทษและลดโทษที่จะลงแก่จำเลยนั้นจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 คือเพิ่มก่อนแล้วลดหรือไม่เพิ่ม ไม่ลด ถ้าในที่สุดคงลงโทษจำคุกจำเลยจริงไม่เกิน 20 ปีแล้วก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 51
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า เมื่อลงโทษจำคุกจำเลย20 ปีแล้ว จะเพิ่มโทษจำคุกจำเลยเกินกว่า 20 ปีไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ยังจะมีการลดโทษจำเลยด้วย แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ศาลฎีกาจะพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่กระทบการฟ้องคดี และหลักการเพิ่มลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
การจับกุมกับการสอบสวนเป็นการดำเนินการคนละตอนกัน เมื่อการสอบสวนได้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ถึงแม้การจับกุมจะมิชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก หาทำให้กระทบกระเทือนถึงการฟ้องคดีอาญาไม่
คดีที่มีกรณีทั้งต้องเพิ่มโทษและลดโทษที่จะลงแก่จำเลยนั้น จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 คือเพิ่มก่อนแล้วลดหรือไม่เพิ่ม ไม่ลด ถ้าในที่สุดคงลงโทษจำคุกจำเลยจริงไม่เกิน 20 ปีแล้วก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 51
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า เมื่อลงโทษจำคุกจำเลย20 ปีแล้ว จะเพิ่มโทษจำคุกจำเลยเกินกว่า 20 ปีไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ยังจะมีการลดโทษจำเลยด้วย แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาจะพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมสามีต่อการฟ้องคดีและการร่วมรับผิดในหนี้ที่เกิดจากการประนีประนอมยอมความ
สามีโจทก์อนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องที่ดิน โดยสามีโจทก์ยินยอมรับผิดร่วมด้วยกับโจทก์ ในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินคดีทุกประการ ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีดังกล่าว โจทก์จำเลยตกลงกันต่อศาลให้โจทก์ทำนาพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยโจทก์ยอมเสียค่าเช่าไร่ละ 7 ถังข้าวเปลือกคิดเป็นเงินถังละ13 บาท ถ้าจำเลยชนะคดีโจทก์จะนำค่าเช่าดังกล่าวชำระให้จำเลยภายใน 1 เดือนนับแต่เสร็จคดี การที่โจทก์ตกลงกับจำเลยเช่นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่ฟ้อง ซึ่งสามีได้อนุญาตให้โจทก์กระทำได้ตามที่อนุญาตไว้นั่นเอง สามีโจทก์จะเถียงว่าข้อที่โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยต่อศาลเรื่องการทำนาพิพาทนั้น ไม่เกี่ยวกับการที่สามีโจทก์ได้อนุญาตให้กระทำได้นั้น ย่อมฟังไม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชนะคดี โจทก์ไม่ยอมชำระค่าเช่า จำเลยย่อมมีสิทธินำยึดสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับสามีเพื่อบังคับคดีเอาชำระค่าเช่าตามที่ตกลงกันไว้ได้ โดยจำเลยไม่ต้องขอให้แยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของโจทก์ก่อน สามีโจทก์จะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีต่อศาลย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยชอบ เว้นแต่เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จงใจให้ผู้อื่นเสียหาย
การฟ้องคดีต่อศาลนั้นตามปกติย่อมเป็นการกระทำโดยชอบเพราะเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตนทางศาลอันเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาตการใช้สิทธิเช่นนี้ไม่เป็นการผิดกฎหมายแต่อย่างใด เว้นไว้แต่จะปรากฏว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริต มิได้หวังผลอันเป็นธรรมดาแห่งการใช้สิทธิทางศาล หากแต่จงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง
(อ้างคำพิพากษาที่ 146/2480)
จำเลยฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จเพราะโจทก์เบิกความในคดีก่อนสองครั้งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความว่าได้ยื่นคำขอจดทะเบียน(เครื่องหมายการค้า) เพิ่มเติมอีกเป็นชุด ได้รับอนุญาตแล้ว ซึ่งความจริงทางราชการยังไม่ได้รับจดทะเบียนให้ ส่วนชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่ายังไม่ได้รับจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายชุด คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวมีมูลให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์เบิกความเท็จ มิใช่เป็นการปั้นเรื่องขึ้นฟ้องแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าคำเบิกความของโจทก์มิใช่ข้อสำคัญในคดีและเป็นคำบอกเล่ามา แต่คำเบิกความของโจทก์จะเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันจำเลยอาจเห็นว่าเป็นข้อสำคัญในคดีก็ได้เมื่อโจทก์จำเลยอ้างแต่สำนวนคดีอาญาเป็นพยาน ย่อมไม่พอที่จะให้เห็นว่าการที่จำเลยฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จนั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันจะเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จต้องไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หรือจงใจให้ผู้อื่นเสียหาย
การฟ้องคดีต่อศาลนั้นตามปกติย่อมเป็นการกระทำโดยชอบเพราะเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตนทางศาลอันเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาต การใช้สิทธิเช่นนี้ไม่เป็นการผิดกฎหมายแต่อย่างใด เว้นไว้แต่จะปรากฏว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริต มิได้หวังผลอันเป็นธรรมดาแห่งการใช้สิทธิทางศาล หากแต่จงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง
(อ้างคำพิพากษาที่ 146/2480)
จำเลยฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จเพราะโจทก์เบิกความในคดีก่อนสองครั้งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความว่าได้ยื่นคำขอจดทะเบียน (เครื่องหมายการค้า) เพิ่มเติมอีกเป็นชุดได้รับอนุญาตแล้ว ซึ่งความจริงทางราชการยังไม่ได้รับจดทะเบียนให้ ส่วนชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่ายังไม่ได้รับจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายชุด คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวมีมูลให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์เบิกความเท็จ มิใช่เป็นการปั้นเรื่องขึ้นฟ้องแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าคำเบิกความของโจทก์มิใช่ข้อสำคัญในคดีและเป็นคำบอกเล่ามา แต่คำเบิกความของโจทก์จะเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันจำเลยอาจเห็นว่าเป็นข้อสำคัญในคดีก็ได้เมื่อโจทก์จำเลยอ้างแต่สำนวนคดีอาญาเป็นพยาน ย่อมไม่พอที่จะให้เห็นว่าการที่จำเลยฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จนั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันจะเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท - การเปรียบเทียบปรับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย - สิทธิฟ้องคดีอาญา
จำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เป็นทั้งความผิดลหุโทษและที่มิใช่ลหุโทษ แต่ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาในความผิดลหุโทษแต่บทเดียว แล้วเปรียบเทียบปรับไป ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำให้คดีเลิกกันอันเป็นเหตุให้สิทธินำคดีมาฟ้องระงับไป พนักงานอัยการมีสิทธิฟ้องจำเลยในความผิดที่มิใช่ลหุโทษอีกได้
คืนเกิดเหตุมีการชุมนุมกันกระทำพิธีสวดมนต์ทำบุญฉลองกระดูกผู้ตายตามพุทธศาสนาบนหอสวดมนต์ จำเลยขึ้นมาส่งเสียงเอะอะอื้อฉาวซ้ำยังกล่าวว่า พระนี่ยุ่งจริง พระไม่มีความหมายแล้วจำเลยนั่งลงใช้มือตบกระดาน 7-8 ครั้งและชักปืนพกออกจากเอวมาถือไว้ หันปากกระบอกปืนมาทางพระ แล้วปืนตกลงยังพื้นหอสวดมนต์ การกระทำของจำเลยดังกล่าว ถึงแม้ผู้ที่ไปชุมนุมกันจะไม่มีปฏิกิริยาวุ่นวายขึ้นก็ตาม ก็ยังถือได้ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตฟ้องคดีข่มขืน การปรับบทกฎหมาย และการลงโทษกรรมต่างๆ
ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกร่วมกันฉุดคร่ากระทำอนาจาร ว.กับก.ผู้เสียหายแล้วจำเลยที่2กับพวกอีก3คนฉุด ก. ผู้เสียหายและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา แม้ตามทางพิจารณาจะปรากฏว่าพวกของจำเลยที่ 2 ที่ร่วมฉุด ก.ไปผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นคือ จำเลยที่ 1 นายสำลีกับชายอีกคนหนึ่ง ก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่ต่างกับฟ้องในสารสำคัญ และเมื่อจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้คดี ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่ต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยด้วย
จำเลยใช้มีดขู่บังคับผู้เสียหายและฉุดเข้าไปในป่าอ้อยลึก 2 เส้น แล้วข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำต้องยกเอามาตรา 278 มาปรับบทด้วยอีก
of 84