พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2494/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย: สิทธิของตัวการเมื่อตัวแทนผิดสัญญาและการเรียกร้องค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่า ภายหลังจากที่จำเลยรับมอบปุ๋ยจากโจทก์แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ชำระค่าปุ๋ยตามกำหนดเวลาในสัญญา ไม่ทำรายงานจำนวนปุ๋ยที่จำหน่ายไปแล้วและปุ๋ยคงเหลือ และไม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้ซื้อปุ๋ยให้โจทก์ทราบภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนตามแบบที่โจทก์กำหนดอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นเรื่องของสัญญาข้อ 13 และข้อ 15 ที่ตกลงว่าหากจำเลยผิดสัญญาในส่วนนี้ย่อมมีผลตามสัญญาข้อ 17 ที่ระบุว่า ถ้าตัวแทนซึ่งหมายถึงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือตัดสิทธิการเป็นตัวแทนและมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาข้อ 18.1 หรือเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินทันทีตามสัญญาข้อ 18.2 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินให้แก่ตัวการเสร็จสิ้นเท่านั้น ซึ่งตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยดังกล่าวไม่มีข้อใดระบุว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายอีกตันละ 500 บาทดังกรณีตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 10 แต่อย่างใด ดังนี้ เมื่อจำเลยผิดสัญญาโดยมิได้คืนปุ๋ยแก่โจทก์ และโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าปุ๋ยทั้งหมด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการคืนปุ๋ยแก่โจทก์ไม่ถูกต้อง กรณีไม่อาจที่จะแปลว่าเมื่อจำเลยไม่คืนปุ๋ยย่อมฟังเป็นปริยายว่าปุ๋ยขาดจำนวนไปจากการดูแลรักษาของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2494/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย: การผิดสัญญาชำระค่าปุ๋ยและผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่า ภายหลังจากที่จำเลยรับมอบปุ๋ยจากโจทก์แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ชำระค่าปุ๋ยตามกำหนดเวลาในสัญญาไม่ทำรายงานจำนวนปุ๋ยที่จำหน่ายไปแล้วและปุ๋ยคงเหลือ และไม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้ซื้อปุ๋ยให้โจทก์ทราบภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนตามแบบที่โจทก์กำหนดอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นเรื่องของสัญญาข้อ 13 และข้อ 15 ที่ตกลงว่าหากจำเลยผิดสัญญาในส่วนนี้อยู่มีผลตามสัญญาข้อ 17 ที่ระบุว่า ถ้าตัวแทนซึ่งหมายถึงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือตัดสิทธิการเป็นตัวแทนและมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาข้อ 18.1 หรือเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินทันทีตามสัญญาข้อ 18.2 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินให้แก่ตัวการเสร็จสิ้นเท่านั้นซึ่งตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยดังกล่าวไม่มีข้อใดระบุว่าเมื่อจำเลยผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายอีกตันละ 500 บาทดังกรณีตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 10 แต่อย่างใด ดังนี้เมื่อจำเลยผิดสัญญาโดยมิได้คืนปุ๋ยแก่โจทก์ และโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าปุ๋ยทั้งหมด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการคืนปุ๋ยแก่โจทก์ไม่ถูกต้อง กรณีไม่อาจที่จะแปลว่าเมื่อจำเลยไม่คืนปุ๋ยย่อมฟังเป็นปริยายว่าปุ๋ยขาดจำนวนไปจากการดูแลรักษาของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2494/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย: การผิดสัญญาชำระค่าปุ๋ยและผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่าภายหลังจากที่จำเลยรับมอบปุ๋ยจากโจทก์แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ชำระค่าปุ๋ยตามกำหนดเวลาในสัญญาไม่ทำรายงานจำนวนปุ๋ยที่จำหน่ายไปแล้วและปุ๋ยคงเหลือและไม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้ซื้อปุ๋ยให้โจทก์ทราบภายในวันที่5ของทุกเดือนตามแบบที่โจทก์กำหนดอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นเรื่องของสัญญาข้อ13และข้อ15ที่ตกลงว่าหากจำเลยผิดสัญญาในส่วนนี้อยู่มีผลตามสัญญาข้อ17ที่ระบุว่าถ้าตัวแทนซึ่งหมายถึงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือตัดสิทธิการเป็นตัวแทนและมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาข้อ18.1หรือเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินทันทีตามสัญญาข้อ18.2พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินให้แก่ตัวการเสร็จสิ้นเท่านั้นซึ่งตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยดังกล่าวไม่มีข้อใดระบุว่าเมื่อจำเลยผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายอีกตันละ500บาทดังกรณีตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ10แต่อย่างใดดังนี้เมื่อจำเลยผิดสัญญาโดยมิได้คืนปุ๋ยแก่โจทก์และโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าปุ๋ยทั้งหมดโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการคืนปุ๋ยแก่โจทก์ไม่ถูกต้องกรณีไม่อาจที่จะแปลว่าเมื่อจำเลยไม่คืนปุ๋ยย่อมฟังเป็นปริยายว่าปุ๋ยขาดจำนวนไปจากการดูแลรักษาของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าทำประโยชน์ที่ดินหลวงสุจริต & ค่าเสียหายจากการเช่าละเมิด
จำเลยเข้าทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่หลวงโดยสุจริตและโดยผู้บังคับบัญชาซึ่งครอบครองดูแลที่ดินพิพาทเป็นผู้อนุญาต มิได้จงใจบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ การเข้าทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นละเมิด
จำเลยนำที่ดินพิพาทของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยละเมิดเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินพิพาท ดังนั้นค่าเช่าที่ดินจึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการกระทำละเมิด ส่วนค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่ามิใช่ค่าเสียหายโดยตรง
จำเลยนำที่ดินพิพาทของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยละเมิดเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการให้เช่าที่ดินพิพาท ดังนั้นค่าเช่าที่ดินจึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการกระทำละเมิด ส่วนค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่ามิใช่ค่าเสียหายโดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: มูลคดีคือต้นเหตุการโต้แย้งสิทธิ ไม่ใช่สถานที่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น
คำว่า มูลคดี ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4 หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง แต่ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 อันเนื่องมาแต่มูลเหตุละเมิดที่จำเลยได้ก่อขึ้นเท่านั้น การที่กรมการประกันภัยโจทก์ซึ่งได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นดังกล่าวที่สำนักงานคุ้มครองผู้เอาประกันภัยซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงพระโขนงซึ่งเป็นศาลชั้นต้น จึงมิใช่ต้นเหตุพิพาทอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์ คงเป็นเพียงสิทธิที่โจทก์จะใช้สิทธิไล่เบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น มูลคดีจึงมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงพระโขนง โจทก์จะเสนอคำฟ้องของตนต่อศาลแขวงพระโขนงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: มูลคดีคือต้นเหตุการโต้แย้งสิทธิ ไม่ใช่สถานที่จ่ายค่าเสียหาย
คำว่า มูลคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง แต่ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535 อันเนื่องมาแต่มูลเหตุละเมิดที่ละเมิดที่จำเลยได้ก่อขึ้นเท่านั้น การที่กรมการประกันภัยโจทก์ซึ่งได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นดังกล่าวที่สำนักงานคุ้มครองผู้เอาประกันภัยซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงพระโขนงซึ่งเป็นศาลชั้นต้น จึงมิใช่ต้นเหตุพิพาทอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์ คงเป็นเพียงสิทธิที่โจทก์จะใช้สิทธิไล่เบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น มูลคดีจึงมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงพระโขนง โจทก์จะเสนอคำฟ้องของตนต่อศาลแขวงพระโขนงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: มูลคดีคือต้นเหตุการโต้แย้งสิทธิ ไม่ใช่การจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น
ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4บัญญัติให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่นั้นคำว่ามูลคดีหมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้องแต่ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ป. ที่สำนักงานคุ้มครองผู้เอาประกันภัยซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงพระโขนง เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยตามมาตรา31วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ.2535อันเนื่องมาแต่มูลเหตุละเมิดที่จำเลยได้ก่อขึ้นการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นดังกล่าวมิใช่ต้นเหตุพิพาทอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิแห่งโจทก์คงเป็นเพียงสิทธิที่โจทก์จะใช้สิทธิไล่เบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้นมูลคดีนี้จึงมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงพระโขนง โจทก์จึงเสนอคำฟ้องต่อศาลแขวงพระโขนงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: มูลคดีคือต้นเหตุการโต้แย้งสิทธิ ไม่ใช่สถานที่จ่ายค่าเสียหาย
คำว่ามูลคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้องแต่ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา31วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ.2535อันเนื่องมาแต่มูลเหตุละเมิดที่ละเมิดที่จำเลยได้ก่อขึ้นเท่านั้นการที่กรมการประกันภัยโจทก์ซึ่งได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นดังกล่าวที่สำนักงานคุ้มครองผู้เอาประกันภัยซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงพระโขนงซึ่งเป็นศาลชั้นต้นจึงมิใช่ต้นเหตุพิพาทอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์คงเป็นเพียงสิทธิที่โจทก์จะใช้สิทธิไล่เบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้นมูลคดีจึงมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงพระโขนง โจทก์จะเสนอคำฟ้องของตนต่อศาลแขวงพระโขนงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวต้องมีเหตุตามกฎหมาย หากไม่ทำตามสัญญาต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
การบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีข้อสัญญาหรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา386วรรคหนึ่งเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: การกำหนดค่าเสียหายจากค่าเช่าที่ยุติแล้วห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทจำเลยพักอาศัยอยู่โดยไม่มีสิทธิขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกไปจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทเพราะจำเลยซื้อบ้านพิพาทจากบริษัทช. ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมแต่ยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยได้เช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์แต่เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าหากนำบ้านพิพาทออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่ต่ำกว่า10,000บาทซึ่งหมายถึงอาจให้เช่าได้เดือนละ10,000บาท หรือมากกว่านี้ตามแต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เท่ากับค่าเช่าเดือนละ5,000บาทศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ3,000บาทโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาข้อเท็จจริงจึงยุติว่าบ้านพิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเดือนละ3,00บาทกรณีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง