คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้เสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,243 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การวินิจฉัยผู้เสียหายและมูลคดีจากการไต่สวนมูลฟ้อง
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณา ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อที่จะนำมาวินิจฉัย ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะ พิจารณาต่อไปว่า คดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณา ได้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้น คดีโจทก์ไม่มีมูลศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบกับมาตรา 215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การวินิจฉัยสถานะผู้เสียหายและมูลฟ้องจากข้อเท็จจริงเดิม
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อที่จะนำมาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้นคดีโจทก์ไม่มีมูลศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบกับมาตรา215.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกง: ผู้เสียหายต้องถูกกระทำโดยตรง, ความเสียหายเกิดจากการหลอกลวง ไม่ใช่การจ่ายเงินตามสัญญา
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้อง หรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้อง หรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้น เป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยนำบัตรเครดิต (บัตรวีซ่า) ที่โจทก์ออกให้และห้ามจำเลยใช้ ไปใช้ต่อสถานที่รับบริการบัตรเครดิตโดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะใช้บัตรเครดิตดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินแก่สถานบริการนั้น จำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการ ทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์
การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรเครดิต เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้น ๆ กรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์ แม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการ ก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตามมาตรา 2 (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำที่เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ และการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา พิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้องหรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องหรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้นเป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำบัตรเครดิต(บัตรวีซ่า)ที่โจทก์ออกให้และห้ามจำเลยใช้ไปใช้ต่อสถานที่รับบริการบัตรเครดิตโดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินแก่สถานบริการนั้นจำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรเครดิตเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้นๆกรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์แม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตามมาตรา2(4)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงปืนเข้าบ้านผู้เสียหายถือเป็นการเล็งเห็นผลถึงชีวิต จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
การที่จำเลยยิงปืนเข้าไปชั้นบนของบ้านผู้เสียหายซึ่งจำเลยย่อมรู้หรือน่าจะรู้อยู่ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายหรือคนในบ้านผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตได้นั้นเป็นการกระทำที่เล็งเห็นผลแห่งการกระทำผิดจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3593/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องและการมีอำนาจฟ้องในคดีฉ้อโกง: ผู้เสียหายคือบริษัทฯ ไม่ใช่นายบุญมา
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องจากข้อความที่ว่า 'นายบุญมา พึ่งทอง ผู้เสียหายซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด เป็น นายบุญมา พึ่งทอง ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด ผู้เสียหาย' ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า 'สำเนาให้จำเลย ศาลจะสั่งคำร้องนี้ในคำพิพากษาของศาล' แต่ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมิได้กล่าวถึงคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์ เมื่อพิเคราะห์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งมีข้อความว่า '.......คำพยานโจทก์ คือ นายบุญมา พึ่งทอง กรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด ผู้เสียหาย.........' แล้ว แสดงว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์ได้แก้คำฟ้องตามคำร้องแล้วโดยปริยาย ดังนั้นผู้เสียหายตามฟ้องคือบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด มิใช่นายบุญมา พึ่งทอง และบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด ได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือน พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3593/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฉ้อโกง: ผู้เสียหายคือบริษัทฯ ไม่ใช่กรรมการผู้จัดการ และการแก้ไขคำฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องจากข้อความที่ว่า'นายบุญมาพึ่งทองผู้เสียหายซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดเป็นนายบุญมาพึ่งทองซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดผู้เสียหาย'ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า'สำเนาให้จำเลยศาลจะสั่งคำร้องนี้ในคำพิพากษาของศาล'แต่ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมิได้กล่าวถึงคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์เมื่อพิเคราะห์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งมีข้อความว่า'.......คำพยานโจทก์คือนายบุญมาพึ่งทองกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดผู้เสียหาย.........'แล้วแสดงว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์ได้แก้คำฟ้องตามคำร้องแล้วโดยปริยายดังนั้นผู้เสียหายตามฟ้องคือบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดมิใช่นายบุญมาพึ่งทองและบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด3เดือนพนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3426/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งรื้อถอนอาคารผิดกฎหมายเป็นของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องอาญาเท่านั้น
อำนาจในการสั่งให้รื้อถอนอาคารในกรณีที่มีผู้ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เป็นอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40 และ 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ฐานะของผู้เสียหายตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเพียงสิทธิในการดำเนินคดีในทางอาญาต่อผู้กระทำความผิดเท่านั้น ผู้เสียหายดังกล่าวหามีอำนาจที่จะฟ้องบังคับจำเลยเพื่อให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดกฎหมายอันเป็นอำนาจหน้าที่ในทางแพ่งโดยเฉพาะของเจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3426/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องรื้อถอนอาคารผิดกฎหมาย: ศาลตัดสินว่าสิทธิเป็นของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ไม่ใช่ผู้เสียหาย
อำนาจในการที่จะสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ในทางแพ่งโดยเฉพาะของเจ้าพนักงานท้องถิ่นฐานะของผู้เสียหายตามมาตรา73มีเพียงสิทธิในการดำเนินคดีในทางอาญาต่อจำเลยผู้กระทำความผิดเท่านั้นหาได้มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดกฎหมายด้วยไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3426/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งรื้ออาคารผิดกฎหมาย: เจ้าพนักงานท้องถิ่นเท่านั้นที่ทำได้ ผู้เสียหายฟ้องบังคับไม่ได้
อำนาจในการสั่งให้รื้อถอนอาคารในกรณีที่มีผู้ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เป็นอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา40และ42แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522ฐานะของผู้เสียหายตามมาตรา73แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเพียงสิทธิในการดำเนินคดีในทางอาญาต่อผู้กระทำความผิดเท่านั้นผู้เสียหายดังกล่าวหามีอำนาจที่จะฟ้องบังคับจำเลยเพื่อให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดกฎหมายอันเป็นอำนาจหน้าที่ในทางแพ่งโดยเฉพาะของเจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่.
of 125