พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,786 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายสิทธิในมรดกที่ยังไม่เกิดขึ้น และการครอบครองที่พิพาทของทายาท การกระทำไม่ถือเป็นบุกรุก
การที่โจทก์ร่วมแบ่งที่พิพาทให้แก่จำเลย แล้วจำเลยนำที่พิพาทมาขายคืนให้แก่โจทก์ร่วม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอนซึ่งสิทธิอันหากจะมีภายหน้าในการสืบมรดกผู้ที่มีชีวิตอยู่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619 หนังสือสัญญาการซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้โดยแน่ชัดว่าโจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่ผู้เดียว ที่พิพาทยังคงเป็นมรดกของ พ.การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของพ. มีสิทธิรับมรดกแทนที่ ป. ผู้เป็นมารดา เข้ายึดถือครอบครองในที่พิพาทจึงเป็นเพียงโต้แย้งสิทธิโจทก์ร่วมในทางแพ่ง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเรียกคืนทรัพย์มรดก: จำเลยต้องเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน จึงเป็นบุคคลที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ตามฟ้องคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกที่ได้รับจากผู้ตาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองบุตรนอกกฎหมาย, สิทธิในทรัพย์มรดก, และอายุความในการฟ้องแบ่งมรดก
พฤติการณ์ที่ พ. พาโจทก์ไปมอบตัวตามโรงเรียนต่าง ๆ เหมือนบิดากับบุตรโดยทั่วไปได้ปฏิบัติกัน และปฏิบัติต่อโจทก์อย่างโจทก์เป็นบุตรของตนเช่นนี้ถือได้ว่า พ. ได้รับรองโจทก์ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายว่าเป็นบุตรของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 พ.ร.บ. ให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5ฯ มาตรา 4 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติมาตรา 4 และ มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ให้ใช้บรรพ 5 แห่งป.พ.พ. พุทธศักราช 2477 ดังนั้นการแบ่งสินสมรสของ พ. กับนาง ฉ. ซึ่งสมรสกันก่อนวันใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 เดิมจึงต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 หาใช่แบ่งให้คนละส่วนเท่ากันตามมาตรา 1533 ไม่ ไม่ปรากฏว่า พ.กับนางฉ. มีสินเดิมจึงต้องฟังว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน เมื่อ พ.ถึงแก่กรรม สินสมรสต้องแบ่งเป็นสามส่วนโดยเป็นของ พ. สองส่วนอีกส่วนหนึ่งเป็นของ นาง ฉ. โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. จำเลยตกอยู่ ในฐานะผู้ครอบครองมรดกแทนทายาททั้งหลายดังนี้จำเลยไม่อาจจะยกอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองบุตรนอกกฎหมาย สิทธิในมรดก และการแบ่งสินสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พฤติการณ์ที่ผู้ตายพาโจทก์ไปมอบตัวตามโรงเรียนต่าง ๆเหมือนบิดากับบุตรโดยทั่วไปได้ปฏิบัติกัน และปฏิบัติต่อโจทก์อย่างโจทก์เป็นบุตรโดยให้โจทก์ใช้นามสกุลของผู้ตายและเป็นผู้อุปถัมภ์ค่าเล่าเรียน เครื่องแต่งตัว เครื่องเล่าเรียน ถือได้ว่าผู้ตายได้รับรองโจทก์ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 แล้ว ผู้ตายกับ ฉ. สมรสกันก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ซึ่งตามพระราชบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519มาตรา 4 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติ มาตรา 4และมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477ดังนั้น การแบ่งสินสมรสของผู้ตายกับ ฉ. จึงต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 หาใช่แบ่งคนละส่วนเท่ากันตามมาตรา 1533 ไม่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายสินสมรสต้องแบ่งเป็นสามส่วนเป็นของผู้ตายสองส่วน อีกส่วนหนึ่งเป็นของ ฉ. แม้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2527 วินิจฉัยถึงสิทธิของ ฉ.ซึ่งฟ้องขอเพิกถอนการโอนที่ดินแปลงอื่นและเรียกที่ดินคืนจากจำเลยในคดีดังกล่าวว่า ฉ. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งแต่ไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่า ฉ. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ที่จะนำคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งมรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายจำเลยตกอยู่ในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทไม่อาจจะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกที่ดินร่วมกันระหว่างทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรม รวมถึงอายุความและสิทธิครอบครอง
จำเลยยอมรับว่า บ. เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ จ.และได้ถึงแก่กรรมไปแล้วจริง แต่อ้างว่า บ. ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนของตนให้บุคคลอื่นไปแล้วจึงไม่ตก ได้แก่โจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม จึงเป็นกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตก จำเลย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84 วรรคแรก ส. ทายาทโดยธรรมได้ครอบครองทรัพย์มรดกตลอดมาตั้งแต่ก่อน จ. เจ้ามรดกถึงแก่กรรม เมื่อ ส. ถึงแก่กรรมโจทก์ทั้งสองในฐานะทายาทของ ส. ก็ได้ครอบครองสืบต่อมา ดังนี้ถึงแม้ ส. จะไม่ได้ฟ้องคดีขอแบ่งมรดกเสียภายใน 10 ปีนับตั้งแต่ จ. ถึงแก่กรรม คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความตามป.พ.พ. มาตรา 1754.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจจัดการมรดกและความสมบูรณ์ของพินัยกรรม: สิทธิของผู้มีส่วนได้เสียและเจตนาของเจ้ามรดก
การที่ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านเป็นภริยาของเจ้ามรดกโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่อยู่กินด้วยกันและมีทรัพย์สินร่วมด้วยบางรายการ ถือว่าผู้คัดค้านเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะยื่นคำคัดค้านการที่ผู้ร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ หากพินัยกรรมทำขึ้นขณะผู้ตายล้มป่วยหนักสติสัมปชัญญะไม่สมประกอบ ดังคำคัดค้านผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจร้องต่อศาลขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมได้ จึงจำต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรม เมื่อพินัยกรรมสมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับมรดกตามพินัยกรรมเลย และตามพินัยกรรมเจ้ามรดกมีเจตนาที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเสมือนไร้ความสามารถและไม่เป็นบุคคลล้มละลาย จึงสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย. (วรรคแรกและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสิทธิการเป็นผู้จัดการมรดกเนื่องจากผู้ร้องเสียชีวิต และผลกระทบต่อการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 เป็น ผู้จัดการมรดกร่วมกัน ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ผู้ร้องถึงแก่มรณะ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะ ผู้ร้องผลจึงเท่ากับมรดกของเจ้ามรดกคงมีแต่เพียงผู้คัดค้านที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 6 การที่ผู้ร้องอ้างพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.5 ก็เพื่อขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก แต่เมื่อไม่ได้มีผู้ร้องเป็นคู่ความพิพาทกับผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 6โดยอ้างพินัยกรรมดังกล่าวต่อไปแล้วคดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึงพินัยกรรมฉบับนั้นอีก หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกประการใดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4305/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความมรดก: การฟ้องคดีของทายาทคนหนึ่งไม่สะดุดอายุความของทายาทอื่น และการขาดอายุความเมื่อฟ้องเกิน 1 ปี
ในคดีที่นาย ส. ทายาทคนหนึ่งฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินมรดกพิพาท โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีด้วย คดีดังกล่าวคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงแบ่งที่ดินพิพาทให้นาย ส.นางก.นายก.และนางส. คนละหนึ่งในสิบ โดยนาย ส. ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยอีก ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2528ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่านาย ส. ได้ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งด้วยแต่ประการใด แม้ในคำฟ้องชั้นต้นจะเริ่มเรื่องเป็นการใช้สิทธิแทนทายาททั้งหมดในการเรียกทรัพย์มรดกคืนมา แต่เมื่อนาย ส. สละข้ออ้างในส่วนที่เป็นการเรียกร้องแทนทายาทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความเสียแล้ว กรณีที่จะถือว่าเป็นการ ใช้สิทธิแทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วยจึงเป็นอันหมดไปในผลของคดี ที่ฟ้องการฟ้องคดีของนาย ส. จึงเป็นการใช้สิทธิเฉพาะตัวมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อสิทธิของทายาทซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย คดีที่นาย ส.ฟ้องจึงไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์สะดุดหยุดอยู่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 175 นาย จ. เจ้ามรดกตายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2525 นาง ล. ผู้จัดการมรดกของนาย จ.โอนที่ดินที่พิพาทให้จำเลยเพียงผู้เดียว โจทก์ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์มาฟ้องเรียกส่วนแบ่งมรดกคือที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2529 จึงเป็นการฟ้องคดีเกินกำหนด 1 ปี นับแต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเอามรดกส่วนของตนจากทรัพย์มรดกที่จำเลยรับโอนมาในฐานะทายาท คดีของโจทก์ จึงขาดอายุความมรดกตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1754 และกรณีตามคำฟ้องของโจทก์ก็มิใช่เป็นกรณีที่ฟ้องเอาส่วนแบ่งจากผู้จัดการมรดก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4289/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกโดยผู้จัดการที่ละเลยหน้าที่และโอนทรัพย์สินโดยมิชอบ ทายาทมีสิทธิขอถอนผู้จัดการและแบ่งมรดก
จำเลยอ้างว่ามีสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือจึงรับฟังตามข้อต่อสู้ไม่ได้ เพราะ ป.พ.พ. มาตรา 851หมายความรวมถึงการต่อสู้คดีด้วยไม่ว่าจะมีการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้วหรือไม่ก็ตาม จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้โอนมรดกเป็นของตนเอง เป็นการละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ และมีพฤติการณ์แสดงว่าจะจัดการมรดกไปในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทายาท อันมีเหตุที่จะถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการตามมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 โจทก์ในฐานะทายาทจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิฟ้องขอให้ถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกโดยผู้จัดการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเพิกถอนการจำนองที่ดินมรดก
เมื่อเจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตก ทอดแก่ทายาท ทายาททุกคนจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกได้โอนที่ดินมาเป็นของตนและนำไปจำนองหนี้ส่วนตัวไว้กับจำเลยที่ 2 โดยทายาทอื่นมิได้รู้เห็นยินยอม เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 การจำนองจึงเป็นกิจการนอกขอบอำนาจผู้จัดการมรดก ทายาทอื่นในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้จำเลยทั้งสองสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้เสมอ ฟ้องของโจทก์ไม่เกี่ยวกับคดีมรดก จึงนำอายุความตาม มาตรา 1754 มาบังคับไม่ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมเป็นข้อเสียเปรียบแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและเป็นผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 รับจำนองโดยไม่สุจริต จึงชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองเสียได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300.