พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8175/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาพ้นกำหนดระยะเวลา แม้ศาลชั้นต้นรับฎีกา ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีอาญาเรื่องนี้ครบกำหนดฎีกาในวันที่ 12 มิถุนายน 2542 แต่ในวันที่ 9 มิถุนายน 2542 ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลาฎีกาออกไปอีก 30 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามขอระยะเวลาที่ขอขยายออกไปจึงให้เริ่มนับแต่วันที่ครบกำหนดฎีกาคือวันที่ 12 มิถุนายน 2542 โดยเริ่มนับ 1 ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2542 แม้ว่าวันดังกล่าวจะเป็นวันหยุดราชการก็ตาม ดังนั้น จำเลยจึงมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 แต่ปรากฏว่าจำเลยเพิ่งมายื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาและยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2542 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่พ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7993/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัย
ตามฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่ผู้เสียหายขับเป็นเหตุให้ จ. ถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ส่วน พ. และ บ. ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157,160 แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์ โดยมิได้ระบุว่าอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานใดแต่ก็พอแปลได้ว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โจทก์ร่วมจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและพิพากษาจำคุกจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195ประกอบด้วยมาตรา 225 ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยและให้พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของจำเลย กับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7871/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทเลินเล่อขับรถชนแล้วหลบหนี ศาลฎีกายืนโทษจำคุกฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
จำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง คือขับรถในทาง เกิดเหตุแล้วหลบหนี ซึ่งวรรคสองแห่งมาตราดังกล่าวให้สันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว เมื่อพยานจำเลยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือและมีเหตุผลควรเชื่อตามพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7817/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่? ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้พิจารณาประเด็นค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่ายเดินทางใหม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความฟ้องคดีต่อศาลโดยจะชำระค่าทนายความให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขประการที่ 2 คือสร้างตึกฟรี แต่ไม่ให้ค่าเสียหายให้ร้อยละ 10 ตามสำเนาเงื่อนไขเอกสารท้ายคำฟ้อง ซึ่งจำนวนร้อยละดังกล่าวเป็นการคำนวณจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันซึ่งเมื่อคำนวณจากทุนทรัพย์แล้วเป็นเงินจำนวน 800,000 บาท จำเลยชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เพียง 150,000 บาท ยังค้างชำระจำนวน 650,000 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างที่ค้างชำระจำนวน 650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีดังกล่าวเป็นจำนวนเท่าใด และโจทก์คิดคำนวณค่าจ้างว่าความมาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และจำเลยเองก็เข้าใจข้อหาโจทก์ดีสามารถต่อสู้คดีโจทก์ได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลแต่ละนัดเป็นเวลา 4 ปีครึ่ง นัดละ 2,500 บาท รวม 54 เดือน คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายรวม 135,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเฉพาะที่เรียกค่าจ้างว่าความ มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาล คดีจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้เคลือบคลุม เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลแต่ละนัดเป็นเวลา 4 ปีครึ่ง นัดละ 2,500 บาท รวม 54 เดือน คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายรวม 135,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเฉพาะที่เรียกค่าจ้างว่าความ มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาล คดีจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาศาลเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้เคลือบคลุม เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7816/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานขับรถประมาท จำเลยต้องรับผิดตามที่ฟ้องเท่านั้น ศาลฎีกายกประเด็นความผิดอื่นที่ไม่ได้บรรยาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 ซึ่งหมายถึงมาตรา 160 วรรคสามด้วยนั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทอันเป็นความผิดตามมาตรา 43 (4) ซึ่งต้องลงโทษตามมาตรา 157 เท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 43 (1) (2) (5) หรือ (8) อันจะต้องลงโทษตามมาตรา 160 วรรคสามด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 160 วรรคสาม ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7546/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นเจ้าของที่ดินพิพาท: ศาลฎีกายกฟ้องเนื่องจากศาลล่างวินิจฉัยนอกเหนือคำฟ้องและคำให้การ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. 3 ที่พิพาท ขอให้ขับไล่จำเลยจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยได้หักร้างถางพงแล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ซึ่งแสดงว่าจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาตั้งแต่ต้น คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท การแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 รวมทั้งไม่มีปัญหาเรื่องการเปลี่ยนลักษณะการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องจึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 และ 183 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7491/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อพิพาทสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและราคาซื้อขาย ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ประเด็นเรื่องสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จริง จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกา ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
การนำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับราคาที่ดินอีกส่วนหนึ่งตามสัญญาอีกฉบับหนึ่งนอกเหนือจากสัญญาขายที่ดิน ที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 โจทก์จึงนำสืบได้
การนำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับราคาที่ดินอีกส่วนหนึ่งตามสัญญาอีกฉบับหนึ่งนอกเหนือจากสัญญาขายที่ดิน ที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 โจทก์จึงนำสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7378/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยผิดสัญญาและดอกเบี้ยตามกฎหมาย: ศาลฎีกาแก้ไขวันเริ่มดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามวันผิดนัด
โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญากู้แต่เมื่อเป็นหนี้เงินจำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยก่อนวันผิดนัดเป็นการให้จำเลยชำระดอกเบี้ยมากกว่าที่จำเลยต้องรับผิดตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยก่อนวันผิดนัดเป็นการให้จำเลยชำระดอกเบี้ยมากกว่าที่จำเลยต้องรับผิดตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ใช้ในความผิดยาเสพติด: ศาลฎีกายกประเด็นริบทรัพย์แม้ไม่ได้รับการฎีกา ชี้เป็นเรื่องความสงบเรียบร้อย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,8,15,66,67,97,102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,83,32,33 และมีคำขอให้ ริบของกลางคือธนบัตรที่จำเลยทั้งสองทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจ ผู้ทำการล่อซื้อด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่า จะริบหรือไม่ริบธนบัตรดังกล่าว คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 ธนบัตรของกลางที่จำเลยทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการ ล่อซื้อเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐาน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษจึงต้องริบ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 การริบทรัพย์สินนี้ แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จึงต่างกับโทษ สถานอื่น ซึ่งบางกรณีแม้จำเลยจะไม่ได้กระทำผิดหรือกระทำผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน ของกลางนี้ได้ มิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ใช้ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ไม่มีการฎีกาในประเด็นนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,8,15,66,67,97,102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,83,32,33 และมีคำขอให้ ริบของกลางคือธนบัตรที่จำเลยทั้งสองทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจ ผู้ทำการล่อซื้อด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่า จะริบหรือไม่ริบธนบัตรดังกล่าว คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 ธนบัตรของกลางที่จำเลยทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการ ล่อซื้อเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐาน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษจึงต้องริบ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 การริบทรัพย์สินนี้ แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จึงต่างกับโทษ สถานอื่น ซึ่งบางกรณีแม้จำเลยจะไม่ได้กระทำผิดหรือกระทำผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน ของกลางนี้ได้ มิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย