พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,168 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2760/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ทรงเช็คที่ไม่สุจริตไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค
โจทก์รับสมอ้างเป็นผู้ทรงเช็คผู้ถือและนำเช็คมาฟ้องเรียก เงินจากจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริต โจทก์ย่อมไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คนั้นแก่ตนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2760/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ทรงเช็คที่ไม่สุจริตขาดอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้
โจทก์รับสมอ้างเป็นผู้ทรงเช็คผู้ถือและนำเช็คมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตโจทก์ย่อมไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คนั้นแก่ตนได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ และสิทธิของผู้รับโอนที่จดทะเบียนโดยสุจริต
จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นการได้ทรัพย์สิทธิ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้ จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่ ตามมาตรา 1299 วรรคสอง และตามมาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่ดินมาโดยไม่สุจริตจึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและ โดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว จำเลยที่ 1 จึงอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ย่อมไม่ผูกพันผู้รับโอนที่ได้กรรมสิทธิ์โดยสุจริตและจดทะเบียน
จำเลยที่1ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382เป็นการได้ทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมเมื่อจำเลยที่1ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาจำเลยที่1จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่ตามมาตรา1299วรรคสองและตามมาตรา6ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริตเมื่อจำเลยที่1มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่ดินมาโดยไม่สุจริตจึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วจำเลยที่1จึงอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2745/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าฤชาธรรมเนียม: ดุลพินิจศาลพิจารณาเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้คดี แม้จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดเป็นเงิน 187,031 บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดเป็นเงิน 139,000 บาทโดยให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 100,000 บาท แม้จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเต็มตามฟ้อง แต่เมื่อคำนึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความประกอบกับพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของ จำเลยที่ 5 แล้ว ศาลให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเต็มตามฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2745/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้อง: ศาลมีดุลพินิจพิจารณาเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้คดีประกอบพฤติการณ์ดำเนินคดีได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดเป็นเงิน187,031บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1รับผิดเป็นเงิน139,000บาทโดยให้จำเลยที่5ร่วมรับผิดเป็นเงิน100,000บาทแม้จำเลยที่5ไม่ต้องรับผิดเต็มตามฟ้องแต่เมื่อคำนึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความประกอบกับพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของจำเลยที่5แล้วศาลให้จำเลยที่5ร่วมรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเต็มตามฟ้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตและการปฏิบัติตามคำสั่งศาลถึงที่สุด แม้การยึดทรัพย์เริ่มแรกจะชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อศาลมีคำสั่งให้คืนทรัพย์ จำเลยต้องปฏิบัติตาม
การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิทางศาล จะเป็นการกระทำละเมิดต่อเมื่อกระทำโดยไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาท จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่นำยึดทรัพย์ไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาท คดีถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วนั้น โดยต้องคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์คันพิพาทไว้อีกต่อไป ดังนี้คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงในคดีนี้ว่าตนยังมีสิทธิ์ยึดหน่วงอีกย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งการที่โจทก์ขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลย ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้ มิใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตและเจตนา การกระทำละเมิด ความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ทรัพย์
การนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาถือเป็นการใช้สิทธิทางศาลจะเป็นการกระทำละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ที่ยึดเมื่อเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตมีเจตนากลั่นแกล้งให้เจ้าของได้รับความเสียหาย อ. เช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์แล้วผิดสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงฟ้องอ. ให้คืนรถยนต์และใช้ค่าเสียหายปรากฏว่าระหว่างครอบครองและใช้รถยนต์อ. ได้นำรถไปจ้างจำเลยซ่อมแล้วไม่ชำระค่าซ่อมจำเลยจึงยึดหน่วงรถยนต์ดังกล่าวไว้และฟ้องเรียกค่าซ่อมรถและค่าดูแลรักษาจากอ. ศาลชั้นต้นพิพากษาให้อ. ชำระค่าซ่อมรถยนต์และค่าสินค้าแก่จำเลยกับให้ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์พร้อมกับชำระค่าเสียหายเมื่ออ. ไม่ชำระค่าซ่อมรถยนต์ให้จำเลยๆได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาดเมื่อวันที่8มีนาคม2521ต่อมาวันที่6กรกฎาคม2521โจทก์ได้ร้องขอให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึดไว้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดเมื่อวันที่2พฤษภาคม2522คดีดังกล่าวถึงที่สุดโจทก์ไปขอรับรถยนต์คืนจากจำเลยเมื่อวันที่18ตุลาคม2522แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้จนโจทก์ต้องร้องขอต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยมอบรถยนต์ให้โจทก์จำเลยจึงคืนรถยนต์ให้โจทก์เมื่อวันที่25ธันวาคม2522พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์โดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่นำยึดทรัพย์ในวันที่8มีนาคม2521แต่หลังจากศาลมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาทและโจทก์ขอรับรถยนต์คืนจากจำเลยแล้วการที่จำเลยไม่ยอมคืนให้ถือว่าไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลต่อไปจำเลยได้ชื่อว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่โจทก์ขอรับรถยนต์คืนจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดีโดยสุจริตและการคืนทรัพย์ตามคำสั่งศาล
การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิทางศาลจะเป็นการกระทำละเมิดต่อเมื่อกระทำโดยไม่สุจริตมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาทจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยจึงหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่นำยึดทรัพย์ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาทคดีถึงที่สุดไปแล้วจำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วนั้นโดยต้องคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์คันพิพาทไว้อีกต่อไปดังนี้คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความจำเลยจะฎีกาโต้เถียงในคดีนี้ว่าตนยังมีสิทธิ์ยึดหน่วงอีกย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งการที่โจทก์ขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลยภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดแล้วแต่จำเลยไม่คืนให้มิใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลอีกต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความดำเนินคดีโดยสุจริต ไม่ถือเป็นการละเมิด และอายุความฟ้องเรียกทรัพย์คือ 10 ปี
จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้เลี่ยมกรอบพระเครื่องให้4องค์แต่ไม่ไปรับพระเครื่องที่โจทก์เลี่ยมกรอบเสร็จแล้วคืนโจทก์จึงขายพระเครื่องไปเช่นนี้การที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ฐานยักยอกทรัพย์โดยไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตและการที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาควบคุมตัวและดำเนินการสอบสวนโจทก์จนกระทั่งพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ต่อศาลจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ การฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้จึงต้องถืออายุความ10ปีตามป.พ.พ.มาตรา164.