พบผลลัพธ์ทั้งหมด 213 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี พยานหลักฐานสอดคล้อง แม้ไม่พบร่องรอยบาดแผล
โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า ตนถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรารวม 3 ครั้ง โดยผู้เสียหายได้เบิกความถึง รายละเอียดของการกระทำของจำเลยก่อนทำการข่มขืนกระทำชำเรากับสภาพที่เกิดเหตุ ทั้งได้ลำดับเรื่องราวเป็นลำดับไปและหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ ว.ทราบ ต่อมา ว. เล่าเรื่องให้ ป. มารดาผู้เสียหายทราบ ป. จึงได้สอบถามผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง ผู้เสียหายรับว่าเป็นความจริง ซึ่ง ว. กับ ป. ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวไว้ คำของพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันมีเหตุผลน่าเชื่อฟัง เพราะผู้เสียหายเป็นเด็กสาววัยรุ่นขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ และไม่มีประสบการณ์ในเรื่องเพศสัมพันธ์มาก่อน หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้านำเอาเรื่องที่น่าอับอายมาเล่าให้ผู้อื่นฟังและได้ความว่าผู้เสียหายเป็นคนมีสติปัญญาไม่ดีแต่พูดจารู้เรื่อง ไม่น่าจะมีความคิดบิดเบือนความจริงหรือแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อกล่าวหาจำเลยให้ได้รับโทษเป็นแน่ จากการตรวจร่างกายผู้เสียหายไม่พบร่องรอยใด ๆ เช่นรอยฟกช้ำหรือรอยบาดแผลที่อวัยวะเพศทั้งภายนอกภายในก็ตาม แต่แพทย์เบิกความอธิบายว่า ถ้าผู้หญิงถูกผู้ชายวัย 25 ถึง 30 ปี ข่มขืนกระทำชำเราทุกวันในเวลา 5 วัน ความบอบช้ำของอวัยวะเพศของ ผู้เสียหายก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมเพศมาหรือไม่ ความรุนแรงในการร่วมเพศและร่างกายถูกทำร้ายด้วยหรือไม่ ถ้าผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายในระยะเวลาไม่นานหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราก็อาจจะหาร่องรอยการข่มขืนได้ร่องรอยการถูกข่มขืนจะน้อยหรือมากก็แล้วแต่ความรุนแรงของการถูกข่มขืน ถ้าข่มขืนไม่รุนแรงร่องรอยก็อาจหายในเวลาเพียง 7 ถึง 10 วัน จึงแสดงให้เห็นว่าหากผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายภายหลังเกิดเหตุประมาณ 10 วันแล้ว และการข่มขืนไม่รุนแรงก็จะไม่พบร่องรอยการถูกข่มขืนดังกล่าวได้ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเรามาแล้วประมาณ 10 วัน แล้วจึงมาให้แพทย์ตรวจร่องรอยดังกล่าวกับปรากฎว่าจำเลยมีภริยาแล้วอาจอาศัยเคยผ่านประสบการณ์การร่วมเพศมาก่อนจึงกระทำการไม่รุนแรงต่อผู้เสียหายในขณะร่วมเพศก็เป็นได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย นอกจากนี้จากการตรวจร่างกายของผู้เสียหายปรากฎว่าพบเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายมีรอยฉีกขาดแต่ไม่มีรอยบาดแผลหรือแผลหายแล้วนั่นเอง แสดงว่าภายหลังผู้เสียหายถูกกระทำชำเราล่วงพ้นไปแล้ว10 วัน รอยบาดแผลของเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายก็จะหายไปเองดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา: พยานหลักฐานมั่นคง, การกระทำเป็นกรรมต่างกัน, ศาลปรับบทลงโทษ
จำเลยกับพวกเดินทางกลับจากดูภาพยนตร์กลางแปลงพร้อมกับผู้เสียหายโดยทำทีจะพาผู้เสียหายไปส่งบ้านแต่กลับพาไปผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความตอบถามค้านรับว่าคืนเกิดเหตุเดือนมืดผู้เสียหายไม่ทราบว่าใครเป็นคนข่มขืนกระทำชำเราก่อนหลังใครเป็นคนจับแขนจับขาและถอดกางเกงของผู้เสียหายนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่หาใช่ข้อสาระสำคัญถึงกับจะทำให้คำเบิกความทั้งหมดของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงและไม่น่าเชื่อถือแต่ประการใดเพราะเป็นเพียงรายละเอียดข้อสำคัญอยู่ที่ว่าผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นและร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยและที่แพทย์ตรวจไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหายนั้นก็เป็นเรื่องปกติไม่มีข้อชวนสงสัยแต่อย่างใดเพราะแพทย์ทำการตรวจพิสูจน์ร่างกายผู้เสียหายหลังเกิดเหตุแล้วถึง8วันส่วนที่จำเลยฎีกาว่าผู้ใหญ่ฝ่ายจำเลยไปสู่ขอผู้เสียหายให้แก่จำเลยแสดงว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกระทำผิดนั้นนอกจากไม่เป็นข้อสนับสนุนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยแล้วกลับชี้ให้เห็นว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่จำเลยหวังจะทำให้ผลของการกระทำความผิดของตนถูกกลบเกลื่อนลบล้างไปและการที่โจทก์ไม่ส่งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นพยานนั้นก็เป็นสิทธิของโจทก์หากจำเลยเห็นว่าผู้เสียหายเบิกความไม่ตรงกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนก็มีสิทธิที่จะขอให้ศาลเรียกสำนวนการสอบสวนมาประกอบคดีได้ถ้อยคำที่ผู้เสียหายเบิกความต่อศาลย่อมมีน้ำหนักให้น่าเชื่อกว่าที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนการที่โจทก์ไม่ส่งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นพยานจึงไม่ทำให้น้ำหนักคำพยานปากผู้เสียหายเสียไปพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงพอฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดด้วย การกระทำความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดต่างกรรมกันแต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276วรรคสองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดและโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา284วรรคแรกอีกกระทงหนึ่งได้เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6441/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำชำเราหลายกรรมต่างกัน แม้กระทำต่อเนื่องใกล้เคียงกัน
จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในปี 2536 รวม 3 ครั้ง และในปี 2537 รวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้ง จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปแต่อย่างใดผู้เสียหายคงอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียนตามปกติ ดังนี้ ผู้เสียหายได้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละครั้งแล้ว แม้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่สองห่างจากครั้งแรกประมาณ 2 ถึง 3 วัน ครั้งที่สามห่างจากครั้งที่สองเพียง 1 วัน และครั้งที่ห้าห่างจากครั้งที่สี่เพียง 1 วัน และในแต่ละครั้งจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนากระทำชำเราเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายคนละวันต่างวาระกันและมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใด จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้ง จึงเป็นความผิดรวม 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6441/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำชำเราหลายกรรมต่างกัน แม้เวลาห่างกันไม่นาน หากผู้เสียหายพ้นจากภยันตรายแล้ว ถือเป็นความผิดหลายกระทง
จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในปี 2536 รวม 3 ครั้งและในปี 2537 รวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้ง จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปแต่อย่างใดผู้เสียหายคงอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียนตามปกติ ดังนี้ผู้เสียหายได้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละครั้งไปแล้ว แม้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่สองห่างจากครั้งแรกประมาณ 2 ถึง 3 วัน ครั้งที่สามห่างจากครั้งที่สองเพียง 1 วัน และครั้งที่ห้าห่างจากครั้งที่สี่เพียง 1 วัน และในแต่ละครั้งจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนากระทำชำเราเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายคนละวันต่างวาระกันและมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใดจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้ง จึงเป็นความผิดรวม 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็ก แม้มีเจตนาต่อเนื่องและมีการยินยอมบ้าง ก็เป็นกรรมเดียว
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคแรกคือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้นเด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอม เมื่อจำเลยมีเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมา โดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน รวม 5 ครั้ง แม้จะมีทั้งกรรมที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมและกรรมที่ผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว หาใช่เป็นความผิด 2 กรรม ต่างกรรมกันตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง: เจตนาต่อเนื่องถือเป็นกรรมเดียว แม้มีทั้งการยินยอมและไม่ยินยอม
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกนั้นคือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้วโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามดังนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้นเด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอมการกระทำความผิดของจำเลย คือเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมาโดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา3วันรวม5ครั้งจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวหาใช่ต่างกรรมกันตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอมดังฎีกาของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4698/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอายุผู้เสียหาย ทำให้ไม่มีความผิดฐานกระทำชำเรา
พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทราบว่าผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยรู้อยู่แล้วว่าผู้เสียหายมีอายุไม่เกิน 15 ปี เป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 62 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา: พยานหลักฐานสอดคล้อง คำเบิกความผู้เสียหาย, บาดแผล, และคำรับสารภาพของจำเลยยืนยันความผิด
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยที่1ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายสอดคล้องกับรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่ใต้เยื่อพรหมจารีและพบตัวอสุจิและชั้นสอบสวนจำเลยที่1ก็ให้การรับสารภาพว่าจำเลยที่1ได้กอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย2ครั้งพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่1ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย2ครั้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1987/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานโทรมเด็กหญิง: การกระทำร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมีผู้ร่วมกระทำหลายคน
จำเลยที่2ดึงตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่จำเลยที่3ก็เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราต่อหลังจากนั้นจำเลยที่1ก็เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกสลับกันไปทั้งจำเลยที่1ก็ให้การว่าจำเลยที่1ไปยืนรอจำเลยที่3อยู่ขณะที่จำเลยที่3กำลังร่วมเพศกับผู้เสียหายและเห็นจำเลยที่2กำลังใส่กางเกงและจำเลยที่3ก็ให้การว่าขณะที่จำเลยที่2กำลังร่วมเพศกับผู้เสียหายจำเลยที่1กับที่3ได้นั่งรออยู่ห่างประมาณ3เมตรหลังจากจำเลยที่2ลุกขึ้นจำเลยที่3จึงได้เข้าไปร่วมเพศกับผู้เสียหายและหลังเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายเดินกลับมาที่ร้านขายข้าวแกงที่ผู้เสียหายทำงานก็พบจำเลยทั้งสามนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดอันมีลักษณะเป็นการ โทรมเด็กหญิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมของผู้เยาว์ในความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและการกระทำชำเราที่ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยพา จ. ผู้เยาว์อายุ17ปีอยู่ในความปกครองของ ว.ไปค้างคืนนอกบ้านและ จ. ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราด้วยความสมัครใจโดย จ. กับจำเลยรักใคร่ชอบพอกันประสงค์จะเป็นสามีภริยากันเช่นนี้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา319วรรคแรก