คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
การเช่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ จำเลยต้องพิสูจน์ว่าเข้าข่ายได้รับการคุ้มครอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเช่าอยู่อาศัย ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยได้เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยมีทะเบียนสำมะโนครัว จำเลยได้ทำการค้าขายอยู่ในห้องพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2489 ได้เสียภาษีร้านค้าและภาษีป้าย ก่อนนั้นจำเลยไม่ได้เสียภาษีร้านค้าและไม่มีป้าย จำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งอื่นอีก นอกจากห้องพิพาท ของในร้านของจำเลยมีผ้า เครื่องสำอางค์และของเบ็ดเตล็ดต่างๆ ราคารวมทั้งสิ้นประมาณสองหมื่นบาท
คู่ความต่างไม่สืบพยาน ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยอ้างความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯอันเป็นกฎหมายพิเศษ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบว่า ตนมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัตินั้น เพราะข้อเท็จจริงที่รับกันดังกล่าว ยังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองจึงต้องพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าเคหะอยู่อาศัย: คุ้มครองตามกฎหมาย แม้ไม่มีสัญญาเช่า หลักฐานการชำระเงินใช้ได้
การเช่าเคหะอยู่อาศัยนั้นจะมีหนังสือสัญญาเช่าหรือไม่มีก็ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯเหมือนกัน
ใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งแสดงว่าได้ชำระหนี้แล้วมิได้หมายความว่าถ้าไม่มีใบเสร็จรับเงินค่าเช่าแล้ว จะเถียงว่ามีการเช่าไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สถานะการอยู่อาศัย: หากจำเลยอ้างการเช่าแต่ไม่สืบพยาน พิพากษาขับไล่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยอาศัยและได้บอกกล่าวจำเลยให้รื้อถอนไปแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าที่ดินของโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ และว่าคำบอกกล่าวให้รื้อถอนไปไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้ แสดงว่าจำเลยได้ทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้ว หากแต่ต่อสู้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยและจำเลยมีหน้าที่ต้องสืบให้สมว่าตนเช่า เมื่อจำเลยไม่สืบก็ต้องฟังว่าอาศัย โจทก์ย่อมมีสิทธิตาม ก.ม.ที่จะฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และการพิสูจน์การเช่า: จำเลยต้องพิสูจน์การเช่า หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ โจทก์มีสิทธิขับไล่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยอาศัยและได้บอกกล่าวจำเลยให้รื้อถอนไปแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าที่ดินของโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯและว่าคำบอกกล่าวให้รื้อถอนไปไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ แสดงว่าจำเลยได้ทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้ว หากแต่ต่อสู้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัย และจำเลยมีหน้าที่ต้องสืบให้สมว่าตนเช่า เมื่อจำเลยไม่สืบก็ต้องฟังว่าอาศัย โจทก์ย่อมมีสิทธิตาม กฎหมายที่จะฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606-1610/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การเช่าจากที่อยู่อาศัยเป็นเชิงพาณิชย์ ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ข้ออ้างที่ว่าการเช่าได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ นั้น เป็นหน้าที่ของผู้เช่าที่จะต้องนำสืบให้รับฟังได้
การเช่าตึกอยู่อาศัยนั้นแม้ในชั้นแรกเช่าเพื่ออยู่อาศัย แต่ต่อมาได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ หลายครั้งและได้มีการขึ้นค่าเช่ากันเรื่อย ๆ มา จนเป็นที่เห็นได้ว่าวัตถุประสงค์แห่งการเช่าเปลี่ยนไปเป็นเพื่อประกอบธุระกิจหรือการค้าแล้ว การเช่านั้นก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606-1610/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การเช่าจากที่อยู่อาศัยเป็นธุรกิจ ทำให้ไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ข้ออ้างที่ว่าการเช่าได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ นั้น เป็นหน้าที่ของผู้เช่าที่จะต้องนำสืบให้รับฟังได้
การเช่าตึกอยู่อาศัยนั้นแม้ในชั้นแรกเช่าเพื่ออยู่อาศัยแต่ต่อมาได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ หลายครั้งและได้มีการขึ้นค่าเช่ากันเรื่อยๆ มา จนเป็นที่เห็นได้ว่าวัตถุประสงค์แห่งการเช่าเปลี่ยนไปเป็นเพื่อประกอบธุระกิจหรือการค้าแล้ว การเช่านั้นก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้ผู้อื่นอยู่ร่วมเคหะพักอาศัย ไม่ถือเป็นผู้เช่าช่วง
ให้ผู้อื่นอาศัยอยู่ในเคหะที่ตนเช่ามา โดยให้ผู้นั้นช่วยเสียค่าน้ำค่าไฟฟ้าบ้างนั้น ย่อมไม่ทำให้ผู้อาศัยนั้นมีฐานะเป็นผู้เช่าช่วง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ พิจารณาเจตนาการเช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือไม่
โจทก์ผู้ให้เช่ามีหนังสือไปยังจำเลยผู้เช่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2488บอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 31 พฤษภาคม 2489 ในวันใช้พระราชบัญญัติ 2489 จึงยังคงมีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยอยู่ และโจทก์ได้ยื่นฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2490 คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาตลอดมา พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2490 คดีจึงตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ต้องใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้บังคับ
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น 'เคหะ' ตามความหมายในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาที่ทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่าการอยู่,อยู่ในฐานะอย่างใด
(อ้างฎีกา 1099-1147/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรถไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดทางศุลกากรของผู้เช่า ศาลไม่ริบรถ
เจ้าของรถจักรยาน 3 ล้อให้ผู้อื่นเช่ารถไป แล้วผู้เช่าไปบรรทุกของเพื่อนำออกนอกราชอาณาจักรอันเป็นผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร โดยเจ้าของรถผู้ให้เช่ามิได้รู้เห็นนั้น ศาลไม่ริบรถจักรยานอ้างฎีกาที่ 172/2484,561/2484

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099-1147/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาว่าการเช่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือไม่ ต้องดูเจตนาคู่สัญญาและเหตุแวดล้อมประกอบ
ตามบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2) 2490 มาตรา 3 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า กฎหมายประสงค์จะคุ้มครองการเช่าอันใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่าจะใช้เป็นที่ประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรม ด้วยเป็นส่วนประธาน หรืออุปกรณ์ และในทางกลับกัน จะเห็นได้ว่า กฎหมายมิได้มุ่งคุ้มครองการเช่าเพื่อประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรม โดยคู่สัญญามิได้มีเจตนาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เพราะฉะนั้น ในการที่จะพิจารณาว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างใดจะเข้าอยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ดังกล่าวแล้วหรือไม่ จะถือเอาการปฏิบัติของผู้เช่าฝ่ายเดียวเป็นข้อวินิจฉัยหาพอไม่ และตามถ้อยคำแห่งบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ก็มิได้บัญญัติคำว่า "ผู้เช่า" ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฉะนั้นการที่จะดูแต่เพียงว่า ผู้เช่าอาศัยอยู่ในเคหะนั้นหรือไม่แต่อย่างเดียวยังไม่พอกับความประสงค์ของกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาที่ทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง และการปฏิบัติของคูสัญญาแต่ละฝ่าย เหล่านี้รวมกันว่า การที่เช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่อยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้น เพื่อควบคุมดำเนินกิจการเช่นนี้ ฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
of 6