พบผลลัพธ์ทั้งหมด 329 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7122/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันหนี้แทนกัน, สัญญาโดยสมัครใจ, อายุความ 10 ปี, การข่มขู่ที่ไม่ถึงขั้น
จำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.3 โดยเจตนาจะชดใช้หนี้ที่สามีจำเลยซื้อรถแทรกเตอร์ดังกล่าวให้แก่โจทก์แทนสามีจำเลย หาใช่เป็นการชำระหนี้ให้แก่ ก.กรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของโจทก์เป็นการส่วนตัวไม่และเมื่อโจทก์เป็นนิติบุคคลโดย ก.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ก.มีฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ตามกฎหมาย ก.มีอำนาจทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.3แทนโจทก์โดยไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากโจทก์อีก บันทึกข้อตกลงที่ ก.ทำแทนโจทก์จึงผูกพันจำเลย
สามีจำเลยซื้อรถแทรกเตอร์ 1 คัน จากบริษัทโจทก์ในราคา1,400,000 บาท และชำระหนี้ไปบางส่วน คงค้างอยู่ 550,000 บาท การที่จำเลยยอมผูกพันเข้าชำระหนี้ดังกล่าวแทนสามีจำเลยกับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.3 ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งคู่ความกระทำด้วยความสมัครใจ เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการขืนใจลูกหนี้และไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 มิใช่มีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1)
ก.ได้พูดขู่จำเลยให้ยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าเป็นหนี้จำนวน550,000 บาท แล้วจะไม่ดำเนินคดีเอาความผิดแก่ อ.เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมตาม ป.พ.พ.มาตรา 165 วรรคหนึ่ง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่
สามีจำเลยซื้อรถแทรกเตอร์ 1 คัน จากบริษัทโจทก์ในราคา1,400,000 บาท และชำระหนี้ไปบางส่วน คงค้างอยู่ 550,000 บาท การที่จำเลยยอมผูกพันเข้าชำระหนี้ดังกล่าวแทนสามีจำเลยกับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.3 ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งคู่ความกระทำด้วยความสมัครใจ เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการขืนใจลูกหนี้และไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 มิใช่มีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1)
ก.ได้พูดขู่จำเลยให้ยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าเป็นหนี้จำนวน550,000 บาท แล้วจะไม่ดำเนินคดีเอาความผิดแก่ อ.เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมตาม ป.พ.พ.มาตรา 165 วรรคหนึ่ง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ได้จากความกลัวและการข่มขู่ ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ความผิดได้ การตั้งข้อหาต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน
คำรับสารภาพที่ได้ความว่าหากจำเลยไม่ให้การรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจก็จะต้องจับกุมภริยาจำเลยและคนในบ้านทั้งหมดด้วยเป็นคำรับสารภาพที่มีเหตุจูงใจและบังคับให้กลัวไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3058/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขู่กรรโชกทรัพย์ด้วยการข่มขู่ทำร้ายร่างกายเพื่อเรียกเงินค่าจอดรถ ไม่เข้าข่ายชิงทรัพย์
จำเลยขอเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองคนละ10บาทแต่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ให้จำเลยจึงพูดขู่จะต่อยผู้เสียหายที่1และนำเอาอาวุธมีดปลายแหลมมาจ่อห่างจากไหล่ผู้เสียหายที่2ประมาณ7ถึง8นิ้วแล้วพูดขู่ให้ส่งเงินให้ผู้เสียหายทั้งสองเกิดความกลัวจึงมอบเงินให้จำเลยคนละ10บาทแม้จำเลยจะไม่มีอำนาจเรียกเก็บเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองแต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็มิได้ขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองตั้งแต่ต้นแสดงว่าจำเลยมิได้มุ่งหมายขู่บังคับเอาเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองโดยตรงมาแต่แรกเงินที่จำเลยเรียกเก็บเป็นเงิน10บาทเท่ากันทุกรายและมิได้ขู่เข็ญเอาเงินจากผู้ขับรถมากเกินไปจากนี้เพียงแต่ว่าหากผู้ขับรถรายใดไม่ให้ค่าจอดรถก็ต้องนำรถไปจอดที่อื่นหรือหากยืนยันจะจอดรถในบริเวณที่เกิดเหตุจำเลยจึงขู่เข็ญจะทำร้ายซึ่งผู้ขับรถและผู้เสียหายทั้งสองยังสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้เงินจำเลยหรือไม่ก็ได้หากไม่ให้เงินก็นำรถไปจอดที่อื่นมิฉะนั้นอาจถูกทำร้ายตามที่จำเลยขู่การขู่เข็ญของจำเลยจึงเป็นการขู่โดยมีเงื่อนไขดังกล่าวจำเลยจึงมิได้มีเจตนาแย่งการครอบครองเงินของผู้เสียหายทั้งสองโดยตรงการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์และไม่อาจเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ได้แต่การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสองให้ยอมให้หรือยอมจะให้เงินค่าจอดรถแก่จำเลยโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกายของผู้เสียหายทั้งสองจนผู้เสียหายทั้งสองยอมตามจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา337
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5094/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายและการข่มขู่เรียกทรัพย์ กรณีพิพาทเรื่องเงินค่าบริการทางเพศ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีเจตนาข่มขู่เรียกทรัพย์
จำเลยที่2เข้าไปในห้องของโรงแรมกับผู้เสียหายและพร้อมที่จะให้ผู้เสียหายร่วมประเวณีเพื่อจะได้เงินตอบแทนแล้วแม้ผู้เสียหายจะได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่2หรือไม่ก็ตามจำเลยที่2ก็คิดว่าตนควรจะได้รับค่าร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย100บาทเต็มจำนวนเมื่อผู้เสียหายไม่ยอมจ่ายเงินให้ครบตามที่ตกลงและยังขู่ว่าจะนำตำรวจมาจับจำเลยที่2จึงได้ใช้ท่อน้ำประปาตีขาผู้เสียหายโดยผู้เสียหายกับจำเลยที่2ได้ทะเลาะวิวาทกันเรื่องเงินค่าร่วมประเวณีที่หน้าโรงเรียนจึงได้ทำร้ายกันที่จำเลยที่2ทวงเงินได้จากผู้เสียหายไป100บาทจึงไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายขู่เอาทรัพย์จากผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริตเมื่อผู้เสียหายถูกจำเลยที่2ตีแล้วขณะกำลังยืนเจ็บอยู่วิ่งไปตามจำเลยที่1และที่3มาจำเลยที่1ขู่ว่าจะให้หรือไม่และชกผู้เสียหาย1ทีและจำเลยที่3พูดว่าให้เขาไปเถอะเงิน100บาทเท่านั้นผู้เสียหายจึงยอมให้เงินจำเลยที่3ไป100บาทเพื่อเอาไปให้จำเลยที่2เป็นเรื่องที่จำเลยที่1และที่3เข้ามาเกี่ยวข้องในภายหลังมิได้สมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่2ในเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนเมื่อจำเลยที่2มิได้ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายส่งเงินให้100บาทโดยมีเจตนาทุจริตแล้วจำเลยที่1และที่3ก็ไม่มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่2ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจำเลยที่1และที่3คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิพระภิกษุให้กู้ยืมเงิน และการพิจารณาคดีสัญญาที่ถูกกล่าวอ้างว่าเกิดจากข่มขู่
การที่โจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุนำเงินส่วนตัวออกให้บุคคลกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยนั้น ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดห้ามไว้ พระภิกษุก็เป็นบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย การให้กู้ยืมเงินก็เป็นการสงเคราะห์ผู้ที่เดือดร้อนได้ทางหนึ่งอีกทั้ง ป.พ.พ. มาตรา 224 บัญญัติว่า หนี้เงินนั้นให้คิดดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์มีสิทธินำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้
เมื่อคดียังมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยทั้งสองและพิพากษาคดีในวันเดียวกัน ข้อเท็จจริงในคำฟ้องคำให้การและเอกสารที่ศาลชั้นต้นรับไว้จึงไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) และมาตรา 247
เมื่อคดียังมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยทั้งสองและพิพากษาคดีในวันเดียวกัน ข้อเท็จจริงในคำฟ้องคำให้การและเอกสารที่ศาลชั้นต้นรับไว้จึงไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงกิริยาข่มขู่ด้วยคำพูดและการกำมือแน่นไม่ถึงขั้นเลิกจ้างได้
ขณะที่โจทก์พูดตะคอกนางสาว อ. ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าจะเซ็นชื่อในใบลาหรือไม่ ถ้าไม่รักศักดิ์ศรีเป็นเกิดเรื่องแน่ และเมื่อ อ.ถามว่าจะต่อยหน้าหรือ โจทก์ก็พูดว่าไม่แน่พร้อมกับกำมือแน่นอยู่นั้น ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้แสดงกิริยาอาการอื่นที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์จะเข้าทำร้าย อ. การกระทำของโจทก์จึงเป็นเพียงการกระทำที่ไม่สุภาพและไม่สมควรเท่านั้น ยังไม่พอถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การแสดงกิริยาข่มขู่ด้วยคำพูดและการกำมือแน่น ไม่ถึงขั้นร้ายแรงพอที่จะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
ขณะที่โจทก์ถูกตะคอกนางสาวอ.ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าจะเซ็นชื่อในใบลาหรือไม่ถ้าไม่รักศักดิ์ศรีเป็นเกิดเรื่องแน่และเมื่ออ.ถามว่าจะต่อยหน้าหรือโจทก์ก็พูดว่าไม่แน่พร้อมกับกำมือแน่นอยู่นั้นไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้แสดงกิริยาอาการอื่นที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์จะเข้าทำร้ายอ. การกระทำของโจทก์จึงเป็นเพียงการกระทำที่ไม่สุภาพและไม่สมควรเท่านั้นยังไม่พอถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรงหรือมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กและการใช้มีดคัตเตอร์ข่มขู่ ถือเป็นความผิดฐานพรากเด็กและมีอาวุธ
การพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317นั้นไม่ว่าจำเลยจะพรากไปจากใครคนใดคนหนึ่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้จำเลยก็มีความผิดทั้งสิ้นดังนั้นแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองโดยมิได้บรรยายว่าพรากไปจากผู้ดูแลด้วยแต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยพรากไปจากผู้ดูแลจำเลยก็มีความผิดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง แม้ มีดคัตเตอร์จะไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ทุกครั้งที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยเอามีดคัตเตอร์ที่จำเลยพาไปออกมาขู่เข็ญผู้เสียหายแสดงว่าจำเลยพามีดคัตเตอร์ไปโดยเจตนาจะใช้เป็นอาวุธมีดคัตเตอร์จึงเป็นอาวุธ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเจรจาให้เงินเพื่อออกจากที่ดินสาธารณะ ไม่ถือเป็นการข่มขู่หรือข่มเหง
ก่อนเกิดเหตุ ท.ได้ให้ผู้ตายไปบอกจำเลยให้ขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินป่าซายเลนซึ่งเป็นที่ดินของทางราชการที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ และที่ดินแปลงดังกล่าวทางราชการได้ให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว โดยเสนอให้เงินจำเลยจำนวน 60,000 บาท โดยมี พ.กับนายดาบตำรวจ บ.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย และบุคคลทั้งสามไม่มีอาวุธปืนติดตัว ผู้ตายยืนพูดกับจำเลยบริเวณหน้า-ประตูบ้านจำเลย ส่วน พ.และนายดาบตำรวจ บ.ยืนห่างผู้ตายประมาณ 10 เมตรซึ่งเป็นบริเวณนอกบ้านจำเลย ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ก็มีบุคคลอื่นเช่าแล้วจำเลยจึงอยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิโดยชอบ การพูดจาระหว่างจำเลยกับผู้ตายน่าจะพูดถึงเงินจำนวน 60,000 บาท ที่เสนอให้ด้วย และการที่พ.กับนายดาบตำรวจ บ.ไปด้วยก็เป็นการไปเป็นเพื่อด้วยเท่านั้น ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่กระทำไปโดยสมควร ไม่มีลักษณะเป็นการข่มขู่แต่อย่างใดจึงไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงผู้อื่นเสียชีวิต: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเสนอเงินให้ย้ายออก ไม่ใช่การข่มขู่จนถึงขั้นบันดาลโทสะ
ก่อนเกิดเหตุ น. ได้ให้ผู้ตายไปบอกแก่จำเลยให้ขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินป่าชายเลนที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ โดยเสนอให้เงินจำนวน 60,000 บาท เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของทางราชการอยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งได้ให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว จำเลยจึงเช่าไม่ได้ โดยมี พ. กับนายดาบตำรวจบ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วย ทั้งนี้บุคคลทั้งสามไม่มีอาวุธปืนติดตัว ผู้ตายไปถึงก่อนและยืนพูดกับจำเลยบริเวณหน้าประตูบ้านจำเลย พ. กับนายดาบตำรวจ บ. ตามมาไล่ ๆ กันเพื่อจะเป็นเพื่อนผู้ตาย และยืนอยู่ด้วยกันห่างผู้ตายประมาณ10 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณนอกบ้านจำเลย การพูดจาระหว่างผู้ตายกับจำเลยมีการพูดถึงเงิน 60,000 บาท ที่เสนอให้ด้วย เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่กระทำไปโดยสมควร ไม่น่าจะมีลักษณะเป็นการข่มขู่แต่อย่างใด จึงไม่ถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปในบ้านหยิบเอาอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว มายิงผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ