คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อบังคับ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 189 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มติที่ประชุมสมาคมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่: ผลของข้อบังคับสมาคมและการไม่ร้องขอเพิกถอนมติภายในกำหนด
การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่อ้างว่าไม่ชอบด้วยข้อบังคับของสมาคมนั้นเมื่อปรากฎว่าขณะเกิดเหตุประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ23ว่าด้วยสมาคมยังใช้บังคับอยู่จึงต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1291ที่ใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุ อ. ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมโดยมิได้เป็นสมาชิกสามัญของผู้คัดค้านซึ่งขัดต่อข้อบังคับของผู้คัดค้านหมวดที่6ข้อ30แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีสมาชิกคนหนึ่งคนใดของผู้คัดค้านหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1291มติที่ประชุมใหญ่ที่อ. เป็นประธานที่ประชุมจึงมีผลใช้บังคับหาเสียไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9151/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อบังคับการรถไฟฯ กับการฟ้องค่าเสียหายจากลูกจ้างที่ศาลยกฟ้องคดีอาญา ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทยฉบับที่3.5มีข้อความว่าพนักงานผู้ใดมีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกสอบสวนหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาเว้นแต่คดีความผิดลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาทฯลฯก็ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งฯลฯให้ผู้นั้นออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาได้และวรรคสองมีข้อความว่าแต่ถ้าภายหลังศาลพิพากษาว่ามีความผิดหรือสอบสวนพิจารณาได้ความเป็นสัตย์ที่จะต้องลงโทษไล่ออกปลดออกหรือให้ออกหรือเป็นกรณีที่จะต้องให้ออกจากงานด้วยเหตุอื่นก็ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นไล่ออกปลดออกหรือให้ออกให้ตรงตามข้อบังคับถ้าปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนมิได้มีความผิดเลยหรือมีความผิดและไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากงานด้วยเหตุอื่นให้ผู้บังคับบัญชาที่สั่งให้ออกจากงานสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าทำงานตามเดิมแต่คดีนี้มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและกรณีของจำเลยที่2ได้กระทำผิดสัญญาจ้างทำให้โจทก์เสียหายจึงไม่อยู่ในบังคับของข้อบังคับดังกล่าวให้โจทก์รับจำเลยที่2กลับเข้าทำงานและกรณีผิดสัญญาจ้างก็ไม่มีข้อบังคับห้ามมิให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่2ให้รับผิดในทางแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6715/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสั่งออกจากงานเนื่องจากมีมลทิน - สิทธิรับเงินกองทุนสงเคราะห์สมทบ
โจทก์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงถึงขั้นไล่ออกหรือปลดออกจากงาน จำเลยได้ตั้งกรรมการสอบสวนการกระทำของโจทก์ ทางสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังว่า โจทก์กระทำผิดวินัยที่จะต้องถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากงาน แต่มีมลทินมัวหมอง และมีพฤติการณ์อันไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ หากจะให้ปฏิบัติงานต่อไปอาจเป็นการเสียหายแก่จำเลย จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยระเบียบพนักงาน พ.ศ.2517 ข้อ 34 (3) และให้ถือว่าออกจากงานเพราะกระทำผิด ไม่มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์สมทบตามข้อ 36 แห่งข้อบังคับฉบับเดียวกัน แต่เมื่อข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยระเบียบพนักงานเอกสารหมาย ล.7 ข้อ 36 มีข้อความว่า"พนักงานผู้ใดต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ตามข้อ 34 ซึ่งไม่ใช่เป็นการออกจากตำแหน่งหน้าที่เพราะการกระทำผิดมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์สมทบตามข้อบังคับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ และการสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค" และข้อ 34 แห่งข้อบังคับฉบับเดียวกันมีข้อความว่า"การสั่งให้พนักงานผู้ใด พ้นจากตำแหน่งหน้าที่โดยการให้ออกให้พิจารณาโดยเหตุดังนี้"... (3) มีข้อความว่า "พนักงานผู้นั้นต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและการสอบสวนไม่ได้ความเป็นสัตย์ว่าได้กระทำผิดที่จะถูกไล่ออกหรือปลดออกแต่มีมลทินหรือมัวหมอง หรือมีพฤติการณ์อันไม่น่าเป็นที่ไว้วางใจ ซึ่งจะให้ปฏิบัติงานต่อไปอาจเป็นการเสียหายแก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค" ดังนี้ ผลการสอบสวนที่สรุปว่าจำเลยไม่มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหาที่จะต้องมีโทษถูกไล่ออกหรือปลดออกจากงาน แต่มีมลทินหรือมัวหมอง หรือมีพฤติการณ์อันไม่น่าเป็นที่ไว้วางใจฯ ซึ่งต้องด้วยข้อบังคับฉบับดังกล่าวข้อ 34 (3) นั้น ซึ่งตามเนื้อหาแล้วไม่ได้เป็นการระบุว่าโจทก์กระทำผิดวินัยในข้อใด แต่เป็นเรื่องที่ตามทางสอบสวนปรากฏจากพยานหลักฐานในสำนวนว่ามีเหตุสงสัยตามสมควรว่าโจทก์ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ในกรณีเช่นนี้แม้จำเลยจะอาศัยข้อบังคับฉบับดังกล่าวสั่งให้โจทก์ออกจากงานได้ก็ตาม แต่จะถือว่าโจทก์ออกจากตำแหน่งหน้าที่เพราะกระทำผิดยังไม่ได้ คำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ออกจากงานโดยให้ถือว่าได้กระทำผิด จึงเป็นเรื่องเกินเลยไปจากที่ข้อบังคับกำหนดไว้ โจทก์ยังคงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์สมทบตามข้อ 36 แห่งข้อบังคับฉบับดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2600/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเว้นการจัดเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินตามข้อบังคับ ก่อให้เกิดการเบียดบังเงินของโจทก์ จำเลยต้องรับผิดร่วมกัน
การละเว้นกระทำจะเป็นละเมิดต่อเมื่อเป็นการละเว้นกระทำในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลและความเสียหายเป็นผลโดยตรงจากการละเว้นดังกล่าว ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงินพ.ศ.2528หมวด2ข้อ6มีว่า"ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินมีหน้าที่และความรับผิดชอบดังนี้จัดเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงิน"จำเลยที่2ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจึงต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามข้อ13คือทำหลักฐานรับจ่ายเงินรับผิดชอบเงินที่รับและจ่ายรับจ่ายเงินให้ถูกต้องตามหลักฐานการรับจ่ายทำงบแสดงยอดเงินรับจ่ายและคงเหลือเสนอต่อผู้มอบเงินไปจ่ายพร้อมทั้งส่งหลักฐานและเงินเหลือจ่ายคืนการที่จำเลยที่2ละเว้นไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับโดยไม่จัดให้มีเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินดังกล่าวเป็นผลให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นนายทหารการเงินมีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลการเบิกเงินการรับจ่ายเงินการเก็บรักษาเงินและการบัญชีเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปการกระทำของจำเลยที่2เป็นการละเว้นกระทำในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่2ต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195-197/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากไม่ได้รับการปรับค่าจ้าง 3 ปีต่อเนื่อง ข้อบังคับใหม่ใช้บังคับได้ทันที
ผลของการที่โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับการปรับอัตราค่าจ้างประจำปีรวม3ปีติดต่อกันเป็นการหย่อนสมรรถภาพในการทำงานตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่เป็นเงื่อนไขที่มีอยู่ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเดิมข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่ได้เปลี่ยนแปลงเพียงเงื่อนเวลาการไม่ได้รับการปรับค่าจ้างประจำปีจากเดิมซึ่งไม่จำต้องเป็น3ปีขยายมาเป็นมีกำหนดระยะเวลา3ปีเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นคุณแก่ลูกจ้างมีผลบังคับใช้ได้ทันทีเมื่อผลการปฏิบัติงานของโจทก์ทั้งสามเข้าเกณฑ์ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามได้มิได้เป็นการบังคับย้อนหลังหรือไม่เป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสามเป็นการไม่เป็นธรรมแต่ประการใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6734/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขข้อบังคับอาคารชุดเรื่องค่าใช้จ่ายร่วมกันต้องแยกค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด
ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 32ชื่อนิติบุคคลอาคารชุดย่อมมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้เพียงแต่จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น และเมื่อพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ไม่ได้กำหนดมติเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อนิติบุคคลอาคารชุดเป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมใหญ่ให้เปลี่ยนชื่อนิติบุคคลอาคารชุดจึงต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุมตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว หาใช่ต้องได้รับความยินยอมเห็นชอบจากเจ้าของร่วมทุกคนไม่ ค่าใช้จ่ายที่เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 นั้น แยกค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง และมาตรา 18 วรรคสองออกต่างหากจากกันโดยเด็ดขาด และการคิดส่วนค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกัน กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่เกิดจากบริการส่วนรวม และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกตามส่วนแห่งประโยชน์ ที่ไม่ต่อห้องชุดและชำระกันตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ ซึ่งข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันของเจ้าของร่วมนี้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามมาตรา 32(10) ประกอบด้วยมาตรา 49(1) ส่วนค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสอง ได้แก่ค่าภาษีอากรซึ่งจะต้องจ่ายในนามของอาคารชุดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง เป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 กล่าวคือเป็นไปตามอัตราส่วนระหว่างราคาของห้องชุดแต่ละห้องชุดกับราคารวมของห้องชุดทั้งหมดในขณะที่ขอจดทะเบียนอาคารชุดตามมาตรา 6 และค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสองนี้ ต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 กำหนดเท่านั้น คือตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 หาใช่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ ซึ่งสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับได้ดังเช่นมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ไม่ ดังนั้น การที่ข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยได้นำเอาค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคหนึ่งและมาตรา 18 วรรคสอง มาปะปนกันและให้ตัวอย่างค่าใช้จ่ายปะปนรวม ๆ กันมา จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อจำเลยประสงค์จะเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องร่วมกันออกตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แต่นำเอาค่าใช้จ่ายที่ต้องร่วมกันออกตามมาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยข้อบังคับไม่ได้มารวมเข้าด้วย เหตุนี้มติที่ประชุมใหญ่ให้แก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันของเจ้าของร่วมเฉพาะค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสอง ที่ให้ใช้อัตราส่วนระหว่างพื้นที่ห้องชุดพื้นที่ซักล้างและพื้นที่จอดรถของอาคารชุดทั้งหมด จึงขัดต่อกฎหมายและใช้บังคับกันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรณีเทศบาลสั่งรื้ออาคารและงดจ่ายน้ำประปาจากการกระทำที่ผิดข้อบังคับ ผู้กระทำไม่ถึงขั้นเป็นความผิดตาม ม.157
แม้โจทก์จะเคยยื่นฎีกาและคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไป เพื่อรอเสนอคำรับรองให้ฎีกาของอัยการสูงสุดในกระทงความผิดที่ต้องห้ามฎีกามาก่อน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้วก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ส่งฎีกาของโจทก์ไปให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาอีกทางหนึ่งได้ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเทศมนตรี และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นปลัดเทศบาลได้ร่วมกันประชุมคณะเทศมนตรีแล้ว มีมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อนำไปใช้ในการจัดเก็บรายได้ของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นเทศบาล แม้แผนที่นี้จะมีการแสดงเส้นประว่าที่ดินบางส่วนของโจทก์พังลงน้ำไปแล้ว หรือไม่ถูกต้องตรงกับรูปแผนที่ระวางในโฉนดที่ดินของโจทก์ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์และไม่ทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ลงมติดังกล่าวการที่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คณะทำงานเพื่อดำเนินการพิจารณาข้อร้องเรียนของราษฎรที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้น มีความเห็นว่าอาคารของโจทก์ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัย และที่ดินที่ทำการก่อสร้างอาคารมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เพราะโจทก์ถมดินเลยตลิ่งลงไปในลำน้ำเจ้าพระยา จนจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5มีมติแก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 ไปแล้วการที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ออกคำสั่งห้ามโจทก์ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคาร และออกคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคาร จึงเป็นการที่เจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คณะทำงานที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้นทำรายงานว่าที่ดินที่จำเลยที่ 6 อนุญาตให้โจทก์สร้างรั้วคอนกรีตนั้น โจทก์ถมดินเลยตลิ่งลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นกรณีที่จำเลยที่ 6 ไม่มีอำนาจอนุญาตให้สร้างรั้วดังกล่าวได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อนการที่จำเลยที่ 2 มีคำสั่งรื้อรั้วคอนกรีตตามรายงานของคณะทำงานจึงเป็นผลต่อเนื่องจากมติที่ประชุมของคณะเทศมนตรีของจำเลยที่ 6ซึ่งเป็นมติที่มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งหกจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เดิม ม.ซึ่งเป็นมารดาของ ป. เป็นผู้ยื่นคำขอให้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ในที่ดินของ ป. ต่อมา ม. ถึงแก่กรรมแล้วป. และโจทก์ซึ่งซื้อที่ดินจาก ป. ในเวลาต่อมาได้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ต่อไปโดยปริยายต่อมาโจทก์เปลี่ยนท่อน้ำประปาเข้าที่ดินของโจทก์จากเดิมขนาด 6 หุน ให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด2 นิ้ว และเปลี่ยนที่ตั้งมาตราวัดน้ำนั้นได้กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตรวจการจ่ายน้ำประปาให้โจทก์ตามข้อบังคับ จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3131/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง และข้อยกเว้นความรับผิดตามข้อบังคับภายใน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2494 ได้ขับรถปั้นจั่นในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2เฉี่ยวลังไม้บรรจุสินค้าซึ่งโจทก์ได้รับประกันภัยไว้ในระหว่างการขนส่ง และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับตราส่งไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองดังนี้ จำเลยที่ 2 จะยกข้อบังคับว่าด้วยระเบียบความปลอดภัยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือลงวันที่ 21สิงหาคม 2494 ข้อ 53,57 และ 58 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับขนและผู้รับฝากทรัพย์ต่อบุคคลผู้มาใช้บริการของจำเลยที่ 2 โดยบุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามและยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับดังกล่าวมาอ้างเพื่อปัดความรับผิดที่มีต่อโจทก์มิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2411/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การพิจารณาเหตุผลเลิกจ้างตามคำสั่งเลิกจ้างและพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุ
ตามคำสั่งเลิกจ้าง นายจ้างระบุในคำสั่งเลิกจ้างว่า ลูกจ้างจงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างอย่างร้ายแรงและกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างเท่านั้น เท่ากับนายจ้างประสงค์จะถือเอาเฉพาะเหตุที่ระบุในคำสั่งเลิกจ้างทั้งสองประการดังกล่าวเป็นเหตุเลิกจ้าง ไม่ได้ถือเอาเหตุอื่นเป็นเหตุเลิกจ้างด้วย ดังนี้เมื่อนายจ้างถูกฟ้องก็ชอบที่จะยกเหตุตามที่ระบุในคำสั่งเลิกจ้างเป็นข้อต่อสู้ จะยกเหตุอื่นนอกเหนือจากที่ระบุในคำสั่งเลิกจ้างเป็นข้อต่อสู้ไม่ได้ การที่นายจ้างยกเหตุว่าลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายขึ้นต่อสู้ ศาลย่อมไม่รับวินิจฉัย นายจ้างมิได้จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตามกำหนดเวลาซึ่งถือว่าเป็นการผิดสัญญาและไม่ชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 29 ย่อมทำให้ลูกจ้างผิดหวังเกิดความรู้สึกไม่พอใจนายจ้าง และมายืนออกันอยู่ที่หน้าโรงงาน เมื่อเห็นนายจ้างขับรถผ่านมาลูกจ้างได้กล่าวถ้อยคำว่า "อีหัวล้าน" ต่อนายจ้างซึ่งกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงความไม่พอใจต่อนายจ้างอันมีผลสืบเนื่องมาจากการที่นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้ นอกจากถ้อยคำดังกล่าวแล้ว ลูกจ้างก็มิได้กล่าววาจาหรือแสดงกริยาอย่างอื่นใดประกอบอีก เพียงถ้อยคำซึ่งกล่าวด้วยอารมณ์ผิดหวังดังเช่นกรณีนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างในกรณีที่ร้ายแรง และถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงถ้อยคำที่ไม่สุภาพไม่ถึงกับเป็นการดูหมิ่นนายจ้างซึ่งหน้า จึงมิใช่เป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลาออกและสิทธิประโยชน์: การคำนวณค่าชดเชยตามอายุและข้อบังคับธนาคาร
โจทก์มีอายุ 50 ปี ยื่นหนังสือลาออกจากงานต่อจำเลย มีข้อความว่า "ข้าพเจ้า (โจทก์) มีความประสงค์ขอลาออกจากงานเพื่อขอรับเงินชดเชยและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่ข้าพเจ้า เต็มตามสิทธิของพนักงานที่ได้ปฏิบัติงานธนาคารมาด้วยดีจนอายุครบ 55 ปี" คำว่า "สิทธิของพนักงานที่ได้ปฏิบัติงานมาจนอายุครบ 55 ปี"นั้น เมื่อตามคำสั่งของจำเลยที่ 6/2525 เรื่อง กำหนดระยะเวลาจ้าง ตลอดจนกำหนดการจ่ายค่าชดเชยและเงินทดแทน ข้อ 9 มีข้อความว่าพนักงานชายอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป และพนักงานหญิงอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป หากกรรมการผู้จัดการใหญ่พิจารณาเห็นว่าสมควรอนุมัติให้ในกรณีพิเศษให้ลาออกเพื่อรับค่าชดเชยก็อาจทำได้ แต่ทั้งนี้ให้คำนวณค่าชดเชยตามข้อ 13.2 และตามข้อ 13.2 การจ่ายค่าชดเชย ให้คำนวณจ่ายให้เท่ากับเงินเดือนสุดท้าย คูณด้วยปีที่ทำงาน ดังนั้น พนักงานชายที่อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษได้รับค่าชดเชยตามข้อ 9 นี้ ส่วนพนักงานชายที่มีอายุยังไม่ครบ 55 ปี แต่ปฏิบัติงานมานานเช่นโจทก์ในคดีนี้เมื่อลาออกจากงานจะได้รับค่าชดเชยตามข้อ 10 คือเท่ากับเงินเดือนสุดท้าย คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน หารด้วยสอง ทำให้ค่าชดเชยลดลงกึ่งหนึ่งการที่โจทก์ระบุข้อความไว้ในหนังสือลาออกทำนองว่า ขอให้โจทก์ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับพนักงานที่ได้ปฏิบัติงานมาจนมีอายุ 55 ปีดังกล่าว ก็เพื่อหวังผลให้ตนได้รับประโยชน์จากการคำนวณค่าชดเชย อันเป็นการอิงสิทธิของพนักงานที่มีคุณสมบัติตาม ข้อ 9 เท่านั้นหามีความหมายนอกเหนือไปจากนี้ไม่ ที่จำเลยอนุมัติให้โจทก์ลาออกจากงานโดยยินยอมตามเงื่อนไขในหนังสือลาออกของโจทก์ จึงเป็นคุณแก่โจทก์เท่าที่ระเบียบข้อบังคับของจำเลยจะเอื้อให้
เมื่อข้อความในหนังสือลาออกของโจทก์มีความชัดเจนในตัวและมีความหมายเป็นนัยเดียวไม่อาจแปลความเกินเลยไปถึงว่าจำเลยยังมีหน้าที่ต้องจ่ายสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่โจทก์เรียกร้องข้างต้นโดยคำนวณจนถึงโจทก์มีอายุครบ 55 ปี ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องนอกเหนือจากข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือลาออกอีก ดังนั้น ที่จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ โดยคำนวณตามหลักเกณฑ์ในข้อ 9จึงเป็นการชอบแล้ว
of 19