พบผลลัพธ์ทั้งหมด 99 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหลังชี้สองสถาน หากข้อเท็จจริงใหม่เพิ่งทราบหลังการชี้สองสถาน
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2527 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2527 ว่า จากการตรวจ สภาพอาคารพิพาทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2527 ปรากฏว่า คานคอนกรีตรองรับชั้นดาดฟ้าแตก ร้าวรวม 18 แห่ง ซึ่ง จำเลยทั้งสองได้ แจ้งให้โจทก์ทราบในวันเดียวกัน โจทก์ไม่ยอมรับผิดในงานที่ชำรุด บกพร่องดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงจ้าง ให้บุคคลภายนอกซ่อมแซม สิ้นค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 81,800 บาท จำนวนค่าเสียหายที่โจทก์ต้อง รับผิดจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 258,490 บาท ข้อความที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเพิ่งทราบภายหลังจากการชี้สองสถานแล้ว ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งหลังจากชี้สองสถานแล้วได้ เพราะเป็นข้อที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ ก่อนวันชี้สองสถาน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 180(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การหลังชี้สองสถาน: เมื่อข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏหลังการชี้สองสถาน จำเลยมีสิทธิแก้ไขคำให้การได้
เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานในวันที่ 18 มิถุนายน 2527 แล้วจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งว่าจากการตรวจสภาพอาคารพิพาทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2527 ปรากฏว่าคานคอนกรีตรองรับชั้นดาดฟ้าแตกร้าวรวม 18 แห่ง ซึ่งจำเลยทั้งสองได้แจ้งให้โจทก์ทราบในวันเดียวกัน โจทก์ไม่ยอมรับผิดในงานที่ชำรุดบกพร่องดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงจ้างให้บุคคลภายนอกซ่อมแซมสิ้นค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 81,800 บาท จำนวนค่าเสียหายที่โจทก์ต้องรับผิดจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 258,490 บาท ข้อความที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเพิ่งทราบภายหลังจากการชี้สองสถานแล้ว ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งหลังจากชี้สองสถานแล้วได้เพราะเป็นข้อที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานตามมาตรา 180(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทต้องชัดเจน การอ้างข้อเท็จจริงใหม่นอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้ง ท. ทายาทตามพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านยอมรับว่าพินัยกรรมพิพาทเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ เพียงแต่ข้อความที่ถูกขีดฆ่าและต่อเติมไม่สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นจึงได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า พินัยกรรมพิพาทส่วนที่มีการขีดฆ่าและเพิ่มข้อความสมบูรณ์ถูกต้องหรือไม่ เมื่อสืบพยานเสร็จผู้คัดค้านยื่นคำแถลงว่าลายมือชื่อในช่องผู้ทำพินัยกรรมเป็นลายมือชื่อปลอม พินัยกรรมพิพาทเป็นพินัยกรรมปลอมทั้งฉบับ คำแถลงของผู้คัดค้านจึงเป็นการกล่าวอ้างนอกประเด็น ไม่มีปัญหาที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัย และการที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันในศาลชั้นต้น ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยนั้น ต้องเกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ มิใช่ข้อเท็จจริงนอกประเด็นนอกสำนวนที่ยกมากล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีที่ขัดกับข้อเท็จจริงใหม่: ภารจำยอมสิ้นสภาพจากถนนตัดผ่าน ทำให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้
ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งส่วนหนึ่งให้จำเลยขุดดินถมลำกระโดงภารจำยอมให้มีสภาพดังเดิมนั้น หากต่อมาปรากฏความจริงตามคำร้องของจำเลยว่า ลำกระโดงดังกล่าวหมดสภาพภารจำยอมแล้ว เพราะถูกถนนสาธารณะตัดผ่าน ภารจำยอมย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 และถ้าให้จำเลยขุดดินถมลำกระโดงให้มีสภาพดังเดิมแล้วจะทำให้บุคคลภายนอกเสียหายซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้โดยสุจริต ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีและให้ยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้วมีคำสั่งตามรูปคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3558/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง และการฟังข้อเท็จจริงใหม่ที่จำเลยร่วมเป็นผู้เอาประกันภัย
โจทก์สองคนฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 60,619 บาท โดยโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันที่ถูกชนเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ กับค่าที่รถยนต์เสื่อมราคารวมเป็นเงิน 27,500 บาท และโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยเรียกร้องเงินที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์และค่าลากจูงรถยนต์คันเกิดเหตุไปทำการซ่อมรวมเป็นเงิน 30,809 บาทดังนี้ไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมที่ไม่อาจจะแบ่งแยกได้ โจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยร่วมแม้จะปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่แรกว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีโดยอ้างว่าปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ภายหลังว่า จำเลยร่วมเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามคำร้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ 3 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยร่วม จึงไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องและคำให้การ.
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยร่วมแม้จะปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่แรกว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีโดยอ้างว่าปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ภายหลังว่า จำเลยร่วมเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามคำร้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ 3 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยร่วม จึงไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องและคำให้การ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องหลังชี้สองสถาน กรณีข้อเท็จจริงใหม่เกี่ยวกับตัวผู้กระทำละเมิด
โจทก์ถูกรถยนต์ของจำเลยชนแล้วหลบหนี จำเลยปกปิดชื่อและที่อยู่ของผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว โจทก์จึงได้ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในฐานะเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์ แม้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วแต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแก่โจทก์ตามสำนวนการสอบสวนของพนักงานอัยการที่ส่งศาลตามหมายเรียกว่า ผู้ขับขี่รถยนต์ชนโจทก์เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลย ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์เพิ่งทราบความจริงภายหลังจากการชี้สองสถานและไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ก่อนหน้านั้นโจทก์จึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะนายจ้างของผู้ทำละเมิดต่อโจทก์หลังวันชี้สองสถานแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องหลังชี้สองสถาน: เมื่อข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏหลังฟ้อง
โจทก์ถูกรถยนต์ของจำเลยชนแล้วหลบหนีจำเลยปกปิดชื่อและที่อยู่ของผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวโจทก์จึงได้ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในฐานะเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์แม้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วแต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแก่โจทก์ตามสำนวนการสอบสวนของพนักงานอัยการที่ส่งศาลตามหมายเรียกว่าผู้ขับขี่รถยนต์ชนโจทก์เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยดังนี้ถือได้ว่าโจทก์เพิ่งทราบความจริงภายหลังจากการชี้สองสถานและไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ก่อนหน้านั้นโจทก์จึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะนายจ้างของผู้ทำละเมิดต่อโจทก์หลังวันชี้สองสถานแล้วได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในชั้นศาลและการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมิอาจยกข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยโต้แย้งในชั้นต้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไพ่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงต้องฟังว่าไพ่นั้นเป็นไพ่ตามพระราชบัญญัติไพ่ ดังนั้น เมื่อศาลลงโทษจำเลยตามฟ้อง จำเลยจึงไม่อาจอุทธรณ์ได้ว่าของกลางตามฟ้องมิใช่ไพ่ เพราะเป็นการยกข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่โต้เถียงไว้ในศาลชั้นต้นขึ้นมาอ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟ้องแย้งในคดีขับไล่: ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงใหม่มาพิจารณาไม่ได้ หากศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทโดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.โอนชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ จำเลยอาศัยอยู่ในทรัพย์พิพาทโดยไม่มีสัญญาเช่ากับเจ้าของเดิม โจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากทรัพย์พิพาทของโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ซื้อทรัพย์พิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.และได้ครอบครองทรัพย์พิพาทตามสัญญาโดยไม่ต้องเสียค่าเช่ามาก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนทรัพย์พิพาทเป็นการชำระหนี้จำนองจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.จำเลยจึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทดีกว่าโจทก์ เพราะจำเลยมีสัญญาซื้อขายกับเจ้าของเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งไว้พิจารณาอ้างว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ถือว่าไม่มีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้ง ในอันที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาพิพากษา เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ชอบที่จะต้องพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้งศาลอุทธรณ์จึงนำข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว และที่ศาลชั้นต้นไม่รับไว้พิจารณามาพิพากษายกฟ้องแย้งไม่ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งไว้พิจารณาอ้างว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ถือว่าไม่มีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้ง ในอันที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาพิพากษา เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ชอบที่จะต้องพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้งศาลอุทธรณ์จึงนำข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว และที่ศาลชั้นต้นไม่รับไว้พิจารณามาพิพากษายกฟ้องแย้งไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นบังคับคดี หากศาลมีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว
คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียน ร. ซึ่งตั้งอยู่ในที่พิพาท ให้รื้อถอนอาคารออกไป การที่จำเลยอ้างในชั้นบังคับคดีว่าอาคารโรงเรียน ร. เป็นของผู้อื่นมิใช่ของจำเลย ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 เป็นการยกข้อเท็จจริงที่ไม่อาจรับฟังได้มาเป็นข้ออ้าง ไม่มีเหตุที่จะยกเลิกการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้