คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คชก.

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 79 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3738/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ถือว่าหนังสือขอขยายเวลาเป็นอุทธรณ์ ทำให้คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลมีผลผูกพันและโจทก์หมดสิทธิซื้อนา
หนังสือขอขยายเวลาการชำระเงินค่าซื้อนาที่โจทก์มีไปถึงประธานคชก.ตำบลบึงคอไห ตามเอกสารหมายจ.8มีข้อความว่าข้าพเจ้านายสอาดพรมกลิ่น ได้รับหนังสือของคชก.ตำบลเมื่อวันที่25กุมภาพันธ์2531ให้ข้าพเจ้านำเงินไปวางมัดจำนากับนางโซมปิ่นทอง มีกำหนด30วันตั้งแต่ได้รับหนังสือนั้นข้าพเจ้ายังไม่พร้อมที่จะนำเงินไปวางมัดจำจึงขอขยายเวลาออกไปอีก1ปีนับตั้งแต่วันที่24มีนาคม2531จนถึงวันที่24มีนาคม2532จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้ด้วยข้อความในหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงการขอขยายเวลาการชำระเงินค่าซื้อนาตามที่คชก.ตำบลบึงคอไหได้วินิจฉัยไว้เมื่อวันที่25กุมภาพันธ์2531ไม่ใช่เป็นเรื่องคัดค้านคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลบึงคอไหหนังสือดังกล่าวจึงมิใช่เป็นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลบึงคอไหต่อคชก.จังหวัดปทุมธานีตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลบึงคอไหซึ่งให้โจทก์นำเงินไปทำสัญญาซื้อขายกับนางซ. จำนวน1,000,000บาทภายใน30วันนับแต่วันที่ออกหนังสือส่วนที่เหลือให้ชำระราคาทั้งหมดภายใน60วันคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลบึงคอไหจึงถึงที่สุดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56วรรคสองเมื่อโจทก์ไม่ได้ไปทำสัญญาซื้อนากับนางซ. ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อนานั้นตามมาตรา53วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. เริ่มนับจากวันที่ทราบคำวินิจฉัย แม้ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้ง
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 56 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติวิธีการในการแจ้งให้ทราบถึงคำวินิจฉัย คชก. ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ ดังนั้น หากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน โจทก์ที่ 1 ทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลแล้วในวันเดียวกันโจทก์ที่ 1 บอกให้โจทก์ที่ 2 ทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลจึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลแม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก ก็หาเป็นผลให้โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่ นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวอีกได้ไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เกินกว่า 30 วันนับแต่ทราบคำวินิจฉัยแต่แรกเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 56 วรรคแรกคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 56 วรรคสองคชก.จังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ การที่ คชก.จังหวัดได้ลงมติและวินิจฉัยอีก จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทำนาในที่นาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. การนับเริ่มจากวันที่ทราบคำวินิจฉัย แม้ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้ง
พระราชบัญญัติญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56วรรคแรกไม่ได้บัญญัติวิธีการในการแจ้งให้ทราบถึงคำวินิจฉัยคชก.ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรหรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ดังนั้นหากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน30วัน โจทก์ที่1ทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลแล้วในวันเดียวกันโจทก์ที่1บอกให้โจทก์ที่2ทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลจึงต้องถือว่าโจทก์ที่2ได้ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเช่นเดียวกันโจทก์ทั้งสองจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดภายใน30วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลแม้ต่อมาคชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีกก็หาเป็นผลให้โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวอีกได้ไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เกินกว่า30วันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัยแต่แรกเป็นการฝ่าฝืนมาตรา56วรรคแรกคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลจึงเป็นที่สุดตามมาตรา56วรรคสองคชก.จังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การที่คชก.จังหวัดได้ลงมติและวินิจฉัยอีกจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายถือว่าคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทำนาในที่นาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเลิกสัญญาเช่านา: ต้องผ่าน คชก. และใช้สิทธิซื้อคืนก่อน
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจะฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่านาเลิกทำนาหรือขับไล่จำเลยได้ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 กรณีสิ้นระยะเวลาการเช่านาแล้วและผู้ให้เช่านาใช้สิทธิบอกเลิกการเช่านาตามมาตรา 37 กรณีหนึ่ง หรือกรณีผู้ให้เช่านาใช้สิทธิบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา 31 อีกกรณีหนึ่ง ทั้งสองกรณีดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก.ตำบลจะวินิจฉัย ซึ่งคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลอาจอุทธรณ์ไปยัง คชก.จังหวัดและศาลได้ตามมาตรา 56 และมาตรา 57 ตามลำดับเมื่อ คชก.จังหวัดวินิจฉัยถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์เพราะมิได้ใช้สิทธิขอซื้อคืนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว โจทก์ก็มาฟ้องขอให้จำเลยเลิกทำนาโดยมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกรณีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินทำนา: ต้องรอผลการวินิจฉัยของ คชก. ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก. ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา 13 (2) แห่งพ.ร.บ. ดังกล่าว และการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง และมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้ โดยเมื่อ คชก. ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้ว โจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อ คชก. จังหวัด ซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไป และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้อง คชก. จังหวัดต่อศาลแล้ว แต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใด โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินเกษตรกรรม: ต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. ให้เสร็จสิ้นก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา 13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง และมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้ โดยเมื่อ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อ คชก.จังหวัด ซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไป และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้อง คชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใด โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินทำนาต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. หากยังไม่สิ้นสุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดิน: ต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. ให้เสร็จสิ้นก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2259/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากโจทก์มิได้ใช้สิทธิซื้อภายในกำหนด
ฟ้องโจทก์เป็นการร้องขอต่อศาลให้บังคับกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของ คชก. ตำบลหรือ คชก.จังหวัด ซึ่งพ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการใน ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลม และตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น เมื่อ พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 54วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้เช่านาต้องใช้สิทธิซื้อนาพิพาทภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้ หรือภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่ผู้ให้เช่านาโอนมานั้นแต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยที่ 1 โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 27สิงหาคม 2528 และโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องเมื่อประมาณเดือนมกราคม 2532หลังจากนั้นจึงดำเนินการยื่นเรื่องราวต่อ คชก.ตำบล เพื่อวินิจฉัยข้อพิพาท เมื่อวันที่19 มกราคม 2532 ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิซื้อนาภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบแม้จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล เกินกำหนดเวลาตามมาตรา 56 และจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ศาลก็ต้องปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของ คชก.ตำบลตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ประกอบพ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 24 ดังกล่าวและเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ได้กล่าวแก้ในคำแก้ฎีกาด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2259/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัยคชก.ที่ดิน เกินกำหนดสิทธิซื้อนา และผลกระทบต่ออำนาจฟ้อง
ฟ้องโจทก์เป็นการร้องขอต่อศาลให้บังคับกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของคชก.ตำบลหรือคชก.จังหวัดซึ่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา58วรรคแรกให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมและตามพระราชบัญญัติ อนุญาโตตุลาการฯมาตรา24วรรคแรกให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดในกรณีที่ศาลเห็นว่า คำชี้ขาด ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้นเมื่อพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา56วรรคแรกบัญญัติให้ ผู้เช่านาต้องใช้สิทธิซื้อนาพิพาทภายในกำหนดเวลา2ปีนับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้หรือภายในกำหนดเวลา3ปีนับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้นแต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยที่1โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่2เมื่อวันที่27สิงหาคม2538และโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องเมื่อประมาณเดือนมกราคม2532หลังจากนั้นจึงดำเนินการยื่นเรื่องราวต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิซื้อนาภายในกำหนดเวลา3ปีนับแต่จำเลยที่1โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่2คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่2จึงไม่ชอบแม้จำเลยที่1ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเกินกำหนดเวลาตามมาตรา56และจำเลยที่2มิได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลศาลก็ต้องปฏิเสธไม่รับบังคับตาม คำชี้ขาดของคชก.ตำบลและเป็นเรื่อง อำนาจฟ้องซึ่งเป็น ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนทั้งจำเลยที่2ก็ได้กล่าวแก้ในคำแก้ฎีกาด้วยศาลฎีกาวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)
of 8