คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 59 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำชี้ขาดคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่เป็นที่สุดหากไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือขาดเหตุผลสนับสนุน ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้อง
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 25 วรรคสอง และประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับลงวันที่ 14 ตุลาคม 2519 ข้อ 1 บัญญัติว่า คำชี้ขาดของคณะบุคคล (คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์) นั้นให้เป็นที่สุด หมายความว่า เป็นคำชี้ขาดที่ถูกต้องตามที่กฎหมายให้อำนาจที่จะชี้ขาดเช่นนั้นได้ หากคำชี้ขาดใดไม่มีกฎหมายให้อำนาจ หรือปราศจากพยานหลักฐานและเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ คำชี้ขาดนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นที่สุด ผู้ที่ได้รับความเสียหายเพราะคำชี้ขาดย่อมมีอำนาจฟ้องคดีขอให้ศาลเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ต้องท้ายตามมาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อตามคำฟ้องกล่าวอ้างว่า คำชี้ขาดจำเลยเป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีเหตุผลเพียงพอในการทำคำวินิจฉัยแล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่จะต้องรับไว้พิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำชี้ขาดคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่เป็นที่สุดหากไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 25 วรรคสองและประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับลงวันที่ 14 ตุลาคม 2519 ข้อ 1 บัญญัติว่า คำชี้ขาดของคณะบุคคล(คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์) นั้นให้เป็นที่สุด หมายความว่า เป็นคำชี้ขาดที่ถูกต้องตามที่กฎหมาย ให้อำนาจที่จะชี้ขาดเช่นนั้นได้ หากคำชี้ขาดใดไม่มีกฎหมายให้อำนาจหรือปราศจากพยานหลักฐานและเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ คำชี้ขาดนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นที่สุด ผู้ที่ได้รับความเสียหายเพราะคำชี้ขาดย่อมมีอำนาจฟ้องคดีขอให้ศาลเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 25 วรรคสองดังนั้น เมื่อตามคำฟ้องกล่าวอ้างว่า คำชี้ขาดของจำเลยเป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีเหตุผลเพียงพอในการทำคำวินิจฉัยแล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่จะต้องรับไว้พิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2210/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดข้อพิพาทเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการที่ไม่ขัดกับกฎหมาย
โจทก์กับสหภาพแรงงานมีข้อขัดแย้งซึ่งตกลงกันไม่ได้กรมแรงงานได้รับเรื่องข้อขัดแย้งดังกล่าวส่งให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์พิจารณา คำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ชี้ขาดให้โจทก์ปรับปรุงอัตราค่าจ้างลำดับต่ำสุดถึงลำดับอื่น ๆ เป็นการชี้ขาดไปตามข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ จึงมีอำนาจชี้ขาดได้ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ เพราะหาได้ชี้ขาดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่และคำชี้ขาดไม่ขัดกับประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวที่กำหนดให้ปรับอัตราค่าจ้างเฉพาะขั้นต่ำเป็นวันละ 45 บาท โดยมิได้กำหนดให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นอื่น ๆ ด้วยคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจชี้ขาดได้
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มิได้ให้ความหมายของคำว่า'สวัสดิการ' ไว้ จึงต้องถือตามความหมายทั่วไป ซึ่งหมายความถึงการให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ การที่โรงงานสุรานายจ้างจำหน่ายสุราให้ลูกจ้างในราคาต่ำกว่าราคาที่จำหน่ายทั่วไป ย่อมเป็นการอนุเคราะห์ช่วยเหลือลูกจ้างอย่างหนึ่ง จึงเป็นสวัสดิการซึ่งเป็นสภาพการจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ ข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในเรื่องนี้เป็นข้อพิพาทแรงงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจชี้ขาดได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3330/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด ดังนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่สั่งให้โจทก์จ่ายเงินค่าเสียหายให้แก่ ก.ลูกจ้างไม่ถูกต้องย่อมถือได้ว่าสิทธิหน้าที่ของโจทก์มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว โจทก์ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
เมื่อปรากฏว่า ก.ลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ขาดงานไปโดยมิได้ยื่นใบลาต่อหัวหน้าหน่วยและโจทก์ก็มิได้มีคำสั่งเลิกจ้าง ก. ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 121 (1) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และ ก. จะยื่นคำร้องกล่าวหาโจทก์ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124 ไม่ได้ คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ว่าโจทก์เลิกจ้าง ก.เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 121 (1) และให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่ ก. จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3330/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ & การเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด ดังนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่สั่งให้โจทก์จ่ายเงินค่าเสียหายให้แก่ ก. ลูกจ้างไม่ถูกต้อง ย่อมถือได้ว่าสิทธิหน้าที่ของโจทก์มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว โจทก์ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
เมื่อปรากฏว่า ก. ลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ขาดงานไปโดยมิได้ยื่นใบลาต่อหัวหน้าหน่วย และโจทก์ก็มิได้มีคำสั่งเลิกจ้าง ก. ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 121(1) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และ ก. จะยื่นคำร้องกล่าวหาโจทก์ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124 ไม่ได้ คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ว่าโจทก์เลิกจ้าง ก. เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 121(1) และให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่ ก. จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การแก้ไขข้อตกลงสภาพการจ้าง และอำนาจสั่งจ่ายค่าเสียหายของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
การที่นายจ้างกับลูกจ้างจะทำข้อตกลงกันใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นทั้งสองฝ่ายจะต้องกระทำให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518มาตรา 13 แล้วดำเนินการตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 13 ด้วย นายจ้างไม่อาจกระทำได้ฝ่ายเดียว
การที่ลูกจ้างเล่นการพนันในบริเวณโรงงานเป็นครั้งแรกไม่ถือว่าลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างในกรณีที่ร้ายแรง นายจ้างจึงไม่มีสิทธิเลิกจ้าง โดยมิได้ว่ากล่าวและตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123(3)
ในการชี้ขาดคำร้องตามมาตรา 125 เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เห็นว่าการกระทำของนายจ้างตามที่ถูกลูกจ้างยื่นคำร้องกล่าวหาเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก็มีอำนาจสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายได้ โดยไม่ต้องมีคำขอเรียกร้องค่าเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยข้อตกลงสภาพการจ้างก่อน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ และค่าชดเชยต่างจากค่าเสียหาย
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แม้จะได้ทำกันไว้ก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ใช้บังคับ ก็เป็นข้อตกลงที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 160 วรรค 2
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 นั้น เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยข้อพิพาทแม้ข้อตกลงทำก่อน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ และค่าชดเชยไม่ตัดค่าเสียหาย
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แม้จะได้ทำกันไว้ก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ใช้บังคับก็เป็นข้อตกลงที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 160วรรคสอง
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 46 นั้น เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518มาตรา41(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1449/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่เป็นที่สุด โจทก์มีสิทธิฟ้องเพิกถอน แม้ปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว
จำเลยฎีกาว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นที่สุด ทั้งโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นแล้ว เป็นเหตุให้คดีระงับไปตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 126 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้เป็นฎีกาในปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ฎีกาในปัญหาข้อนี้ได้
คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. มาตรา 125 ไม่มีบทบัญญัติให้เป็นที่สุด คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นที่สุด การที่โจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นมีผลเพียงให้การดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์เป็นอันระงับตามมาตรา 126 เท่านั้น หามีผลให้สิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งนั้นระงับไปด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จำกัดเฉพาะการสั่งตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถสั่งจ่ายค่าชดเชยนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติ
ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ข้อ 75 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ที่ว่า "เมื่อได้รับคำร้องกล่าวหาตามข้อ 74 แล้ว ให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รับคำร้องกล่าวหา และถ้าปรากฏว่าได้มีการฝ่าฝืนข้อ 70 ข้อ 71 ข้อ 72 หรือข้อ 73 ให้สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ถูกกล่าวหา กระทำหรืองดเว้นกระทำตามควรแก่กรณีโดยให้นำข้อ 15 ข้อ 16 และข้อ 17 มาใช้บังคับโดยอนุโลม" นั้น เป็นการให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้ผู้ถูกกล่าวหากระทำหรืองดเว้นกระทำตามควรแก่กรณี หมายถึงการให้กระทำหรืองดเว้นกระทำในเรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหากำลังก่อความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้แก่ผู้ร้องเรียนอยู่ตามที่ระบุไว้ในข้อ 70 ข้อ 71 ข้อ 72 หรือข้อ 73
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาจ่ายค่าชดเชยอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ 46 ของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515
ประเด็นแห่งคดีมีเพียงว่าคำสั่งที่ 11/2517 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2517 ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ชอบแต่เพียงบางส่วนก็ควรพิพากษาชี้ขาดไปเพียงนั้น ไม่ควรจะพิพากษาบังคับให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยแก่ (ลูกจ้าง) นายวิชัยกับพวกรวม 22 คน ตามคำชี้ขาดข้อ 1 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าชอบด้วยกฎหมายอีกเพราะเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น
of 6