พบผลลัพธ์ทั้งหมด 210 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานผู้จับกุมมีผลต่อการรับฟังพยานหลักฐานในคดีต่อสู้ขัดขวางการจับกุม
ประจักษ์พยานโจทก์ที่นำสืบทั้งสองปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมนั้นมิได้แต่งเครื่องแบบ เหตุที่เข้าจับกุมจำเลยก็สืบเนื่องจากเหตุวิวาทส่วนตัวระหว่างจำเลยกับผู้จับกุมถึงขั้นลงมือทำร้ายกันก่อนที่พยานโจทก์อ้างว่าได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงเห็นได้ชัดว่าลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ของพยานผู้จับกุมเป็นผลสืบเนื่องจากการวิวาทส่วนตัวน้ำหนักความเป็นกลางของพยานผู้จับกุมจึงน้อย ไม่อาจจะรับฟังเชื่อถือได้มั่นคง ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงที่มีประจักษ์พยานบุคคลอื่นซึ่งเป็นประชาชนแต่โจทก์หาได้นำสืบประกอบเพื่อสนับสนุนให้คำเบิกความของพยานผู้จับกุมมีน้ำหนักดีขึ้นแต่ประการใดไม่ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยโดยปราศจากข้อสงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีปล้นทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือและการชี้ตัวผู้ต้องหาที่มีพิรุธ
เหตุเกิดในเวลากลางคืนแม้บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าแต่ก็อยู่คนละฟากถนนห่างจากจุดที่ว.จอดรถจักรยานยนต์ถึง13เมตรส่วนจุดที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายและปลดทรัพย์อยู่ลึกเข้าไปในบริเวณป่าข้างทางไม่มีแสงสว่างส่องถึงคนร้ายเข้ามาล๊อกคอผู้เสียหายและว. ทางด้านหลังผู้เสียหายรับว่าขณะเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายส่วนว. ตกใจไม่ทันได้ฟังว่าคนร้ายพูดอะไรกับผู้เสียหายประกอบกับคนร้ายคนหนึ่งมีผ้าโพกศีรษะโอกาสที่ผู้เสียหายและว.จะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจึงมีน้อยมากทั้งพนักงานสอบสวนให้ผู้เสียหายและว. ดูตัวจำเลยก่อนการชี้ตัวดังนั้นการชี้ตัวของผู้เสียหายและว. จึงมีข้อพิรุธเมื่อไม่มีพยานโจทก์ปากใดรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายอีกและปรากฏว่าจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาลพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานเด็กในคดีอนาจาร และพฤติการณ์ครูผู้กระทำผิด
แม้โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งมีอายุเพียง8ปีเศษเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่เมื่อเบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาปราศจากการปรุงแต่งตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสาทั้งเรื่องราวหลังเกิดเหตุยังสอดคล้องเชื่อมโยงกันดีกับพยานอื่นทำให้เชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานและการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีข่มขืน
คำเบิกความของผู้เสียหายที่อ้างว่าจำหน้าจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายที่ข่มขืนกระทำชำเราตนเป็นคนที่สองได้ขัดกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่ว่าผู้เสียหายแจ้งว่าจำหน้าคนที่ข่มขืนไม่ได้และไม่รู้จักชื่อส่วนที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องนั้นก็เพราะผู้บังคับบัญชาของจำเลยนำจำเลยออกมาให้ผู้เสียหายชี้ตัวเพียงคนเดียวเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาลพยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและการพิสูจน์หลักฐานการขายยาเสพติด: ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานและกระบวนการจับกุม
สายลับคนแรกซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว2เม็ดแต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้จับจำเลยทั้งๆที่มีพยานหลักฐานมากพอที่จะจับกุมได้แล้วการที่เจ้าพนักงานตำรวจรอจนสายลับคนที่3เข้าไปล่อซื้อจึงจับจำเลยโดยอ้างว่าเพื่อให้ได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนมากนั้นยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอให้รับฟังได้ทั้งธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็ยึดไม่ได้จากตัวจำเลยแม้จะยึดได้จากบ. ภริยาจำเลยแต่ก็ยังมีข้อโต้เถียงอยู่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจนำมาใส่ไว้ไม่ใช่ธนบัตรของบ. พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอให้ฟังลงโทษจำเลยฐานขายเมทแอมเฟตามีนได้คงฟังลงโทษจำเลยได้ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีข่มขืน - เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดแม้ผู้เสียหายไม่เบิกความ
แม้โจทก์ไม่ได้ผู้เสียหายและนางสาว ล. มาเบิกความเป็นพยานแต่โจทก์มีสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. พยานโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของผู้เสียหายและนางสาว ล.ที่ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนบันทึกและเบิกความรับรองไว้เชื่อว่าเป็นความจริงเพราะหากไม่เป็นความจริงแล้วผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กสาวย่อมละอายต่อการถูกข่มขืนคงไม่กล้าให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้นเมื่อนำบันทึกคำให้การดังกล่าวมาประกอบคำเบิกความของสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. ว่าชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพแล้วเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6643/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา: ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคล, คำรับสารภาพ, และการพิสูจน์ความผิด
บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างพอที่ประจักษ์พยานจะมองเห็นเหตุการณ์ได้แม้ท. เบิกความชั้นพิจารณาไม่ตรงกับพยานปากอื่นแต่ท. ก็เบิกความว่าในวันเบิกความจำหน้าคนร้ายไม่ได้แล้วและชั้นสอบสวนท. ชี้ตัวคนร้ายตรงกับคำเบิกความพยานโจทก์ปากอื่นอีก2ปากพยานโจทก์ปากนี้จึงไม่เสียไปเมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับในวันรุ่งขึ้นจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพและพาไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพหลังเกิดเหตุเพียง3วันเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพโดยสมัครใจจึงใช้ยันจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา134
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ไม่สมบูรณ์ - พยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพต้องไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพเอง
พยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ต้อง ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพนั้นเอง การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ซึ่งปฏิเสธในชั้นพิจารณา โจทก์และโจทก์ร่วมต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องไม่ใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเอง ส่วนบันทึกการจับกุม คำให้การชั้นสอบสวนของ จำเลยทั้งสี่ บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายประกอบนั้นแม้มีภาพจำเลยทั้งสี่และมีข้อความว่า จำเลยที่ 4 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ ของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้นไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เพื่อให้เห็นว่ากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่อย่างใดอีกเมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและนำสืบปฏิเสธว่า พนักงานสอบสวนได้คำรับสารภาพมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเพียงเท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำตายของผู้ถูกทำร้ายมีน้ำหนักเป็นพยานหลักฐานสำคัญ
บาดแผลที่ผู้ตายได้รับเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือแล้วผู้ตายก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีก ขณะนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลมีผู้ถามอาการผู้ตาย ผู้ตายส่งเสียงฮือแล้วไม่พูดอะไร การที่ผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือและบอกถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกเช่นนี้ แสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่าผู้ตายรู้ตัวว่าตนจะต้องตายและผู้ตายไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำบุคคลอื่นโดยไม่เป็นความจริง ดังนั้น คำพูดของผู้ตายที่พูดบอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์ร่วมถูกยิงอย่างกะทันหันโดยกระสุนปืนนัดแรกถากลำคอเป็นเหตุให้มีเลือดไหลย่อมจะตกใจกลัวและมุ่งแต่จะหลบหนีไม่น่าจะหันไปดูหน้าคนร้ายส่วน ณ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหันไปดูหลังจากเสียงปืนดัง2นัดช่วงนั้นคนร้ายยิงปืนเสร็จคงจะหลบหนีไปแล้วอีกทั้งพยานสองปากนี้เบิกความถึงจุดที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมขัดกับการนำชี้ที่ปรากฏในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุชั้นสอบสวนของ ท. ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยประกอบกับขณะที่ณ. และ ท. ส่งโจทก์ร่วมไปรักษาตัวไม่มีผู้ใดพูดถึงชื่อคนร้ายและเมื่อ ท. ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมระบุชื่อคนร้ายโดยอ้างว่าจะไปปรึกษากับโจทก์ร่วมและบุตรก่อนแล้วจะไประบุชื่อคนร้ายภายหลังจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วม ณ. และ ท.จะเห็นหน้าคนร้ายส่วน ค. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งที่เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่กับพวกที่ข้างรั้วบ้านแต่พยานกลับมานอนต่อที่บ้านโดยไม่ยอมบอกผู้ใดทราบก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะขณะนั้นมีข่าวการว่าจ้างให้ไปยิงโจทก์ร่วมอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวแล้วพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่สืบมายังเป็นที่สงสัยว่าประจักษ์พยานจะเห็นหน้าจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่กระทำผิดหรือไม่จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย