คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิดร้ายแรง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 45 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10282/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษทางอาญา: การพิจารณาโทษฐานต่างๆ และข้อยกเว้นการเพิ่มโทษในความผิดร้ายแรง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 289 (4), 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 371 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 โดยให้เพิ่มโทษทุกฐานความผิดกระทงละหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 แต่ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนต้องระวางโทษประหารชีวิต ไม่อาจเพิ่มโทษได้ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ทุกฐานความผิดกระทงละกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 โดยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกตลอดชีวิตตาม ป.อ. 52 (2) เมื่อรวมโทษทุกฐานกระทงความผิดแล้ว คงลงโทษจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชัดแจ้งอยู่แล้วว่าให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ทุกฐานความผิด เพียงแต่ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งต้องโทษประหารชีวิตนั้น ไม่อาจเพิ่มโทษได้เท่านั้น จึงไม่ต้องอธิบายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2561/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากเมาสุราขณะทำงานเป็นความผิดร้ายแรง ตามระเบียบข้อบังคับและ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ 8 (15) ระบุให้จำเลยเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนก่อนเพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงและไม่จ่ายค่าชดเชยหากลูกจ้าง "ดื่มสุราเครื่องดองของเมาในที่ทำการหรือบริเวณบริษัทฯ ในเวลาทำงานหรือเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมึนเมา" ทั้งโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้ชำนาญงาน มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของแบตเตอรี่และแผ่นธาตุที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพของแบตเตอรี่อันเป็นสินค้าที่จำเลยผลิต การเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการเมาสุรา ย่อมทำให้การปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าของจำเลยได้ ดังนั้น แม้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์จะไม่ให้โจทก์เข้าทำงานและให้กลับบ้านไป แต่การที่โจทก์เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการเมาสุราก็เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดวินัยกรณีร้ายแรงจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4203/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นในบริษัท ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามข้อบังคับบริษัท
โจทก์ใช้ของแหลมมีคมขีดรถของนาย ส. ซึ่งจอดอยู่ในที่จอดรถพนักงานในบริษัทได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการทำลายทรัพย์สินของบุคคลอื่นในบริษัทจำเลย ซึ่งตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยถือเป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นเลิกจ้างได้ ทั้งเมื่อพิจารณาจากข้อบังคับดังกล่าวเห็นได้ชัดว่านอกจากจำเลยประสงค์จะมิให้มีการทำลายทรัพย์สินที่เป็นของจำเลยแล้วยังต้องการให้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นในบริษัทจำเลยได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับทรัพย์สินของจำเลยด้วย หากมีการกลั่นแกล้งทำลายทรัพย์สินกันในบริษัทจำเลย ลูกจ้างอื่นของจำเลยก็ย่อมทำงานอย่างไม่ปกติสุข โดยเฉพาะในที่จอดรถซึ่งเป็นสถานที่ที่ลูกจ้างของจำเลยต้องจอดรถของตนไว้ ไม่อาจดูแลได้ตลอดเวลาที่ทำงานให้จำเลย จึงสมควรได้รับการดูแลจากจำเลยเป็นพิเศษดังจะเห็นได้ว่าจำเลยติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้เพื่อตรวจสอบหาพยานหลักฐานหากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาถึงทรัพย์สินที่ถูกกระทำเป็นรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีราคาและลูกจ้างจำต้องใช้ในการเดินทางมาทำงานสถานที่ที่ถูกกระทำเป็นบริเวณที่จอดรถของบริษัทจำเลย และการใช้ของแหลมมีคมขีดรถของบุคคลอื่นเป็นการกระทำที่ไม่สนใจไยดีในความเดือดร้อนของบุคคลอื่น ไม่สมควรที่จะกระทำอย่างยิ่ง พฤติการณ์แห่งการกระทำของโจทก์ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงอยู่ในตัว จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) ทั้งมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ยอมรับว่ากระทำความผิดจริงและใช้ค่าเสียหายให้แก่นาย ส. จนนาย ส. ไม่ติดใจเอาความกับโจทก์แล้ว และโจทก์มีคุณความดีมาก่อน ควรที่จะนำมาเป็นเหตุบรรเทาโทษเพื่อให้โอกาสแก่โจทก์นั้น เห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการปฏิบัติไปโดยถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องเข้าไปตรวจสอบดุลพินิจในการลงโทษของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5103/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดหย่อนโทษทางวินัยจากไล่ออกเป็นปลดออก ไม่ทำให้การกระทำผิดร้ายแรงนั้นสิทธิค่าชดเชย
ตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ข้อ 4 ทวิ ซึ่งกำหนดให้พนักงานที่ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงใดๆ ซึ่งมีโทษไล่ออก แต่มีเหตุพิจารณาให้ไม่ถึงกับจะต้องถูกไล่ออกหรือมีเหตุอันควรลดหย่อนให้เปลี่ยนโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกได้ และกรณีที่พนักงานถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่การสอบสวนไม่ปรากฏชัดแจ้งว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาอาจสั่งปลดออกจากงานได้เพราะมีมลทินมัวหมองและอาจเป็นการเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยหากคงทำงานอยู่ต่อไปนั้น ตามข้อ 4 ทวิ วรรคสาม ให้สิทธิเพียงแต่ถือว่ามีคำสั่งปลดออกโดยไม่มีความผิดเพื่อประโยชน์ในการได้รับการสงเคราะห์เมื่อออกจากงานตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 เท่านั้น มิได้มีผลเปลี่ยนแปลงการกระทำของบุคคลแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์เมาสุราหรือเสพสุราในเวลาปฏิบัติงานหน้าที่พนักงานกั้นถนนอันเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมีโทษไล่ออกจากงาน แต่จำเลยเห็นว่าโจทก์ให้การรับสารภาพและผู้บังคับบัญชารับรองว่ามีความประพฤติดี จึงลดหย่อนโทษให้หนึ่งระดับเป็นปลดออกจากงานแล้ว การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงซึ่งจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ (ข้อ 46 (3))

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2566

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ และการพิจารณาโทษสำหรับความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด
ป.วิ.อ มาตรา 158 บัญญัติว่า "ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี...(7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง" และมาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมายให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง หรือยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้อง" ซึ่งคำว่า "ฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย..."นั้น หมายถึง กรณีที่ศาลตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าคำฟ้องที่ยื่นนั้น โจทก์กระทำไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยเขตอำนาจศาลที่ยื่นฟ้องตามมาตรา 157 หรือกระทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 158 (1) ถึง (7) มาตรา 159 และมาตรา 160 หากผลการตรวจคำฟ้องปรากฏว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 161 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์แล้ว แต่ไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์อันเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ มาตรา 158 (7) ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ที่ศาลสามารถสั่งให้แก้ไขได้ การที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องโดยไม่มีลายมือชื่อโจทก์ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ มาตรา 158 (7) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และมิได้มีคำสั่งให้โจทก์ลงลายมือชื่อในฟ้องให้ถูกต้องเสียก่อน จึงเป็นข้อผิดพลาดที่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยจำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงประกอบอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำแก้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนพบข้อผิดพลาดของโจทก์และศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีแล้ว ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องได้โดยมิได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไว้ เช่นนี้ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะให้ศาลชั้นต้นสั่งโจทก์แก้ไขฟ้องโดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องให้ถูกต้องได้ การที่ศาลอุทธรณ์ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเสร็จแล้วให้ส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง และมาตรา 215 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้ว
of 5