คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความรุนแรง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 132 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส: การพิจารณาเจตนาและความรุนแรงของการกระทำ
จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน โดยใช้เก้าอี้ตีทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 แล้ววิ่งไล่ตามจำเลยที่ 2 ไป จำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนยิงจำเลยที่ 1 ก่อน 3 นัด นัดแรกถูกที่แขนซ้าย นัดที่ 2 ไม่ถูก นัดที่ 3ถูกนิ้วชี้ สิ้นเสียงปืนนัดที่ 3 แล้วจำเลยที่ 1 ก็เข้าถึงตัวจำเลยที่ 2และแทงจำเลยที่ 2 ไป 1 ที ถูกที่อกด้านขวาเหนือรักแร้ บาดแผลขนาด 2X3 เซนติเมตร ถึงสาหัส เป็นการเข้าประชิดตัวแทงโดยกระทันหันในเวลากลางคืน หลังจากถูกยิงบาดเจ็บแล้ว และแทงสุ่มไปโดยไม่มีโอกาสจะเลือกกำหนดได้ว่าจะแทงส่วนไหนของร่างกาย หากแต่บังเอิญไปถูกที่อกทะลุช่องปอด พฤติการณ์ประกอบบาดแผลยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มี เจตนาฆ่า ควรลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความรุนแรงบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย แม้ผู้ขับขี่ขับรถประมาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2477 มาตรา 29(4), 66 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จำเลยที่1ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 กระทำประมาทฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้องแม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในเรื่องบาดแผลมาด้วย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
แม้การขับรถของจำเลยเป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง ต่างเสียหายมากอย่างไรก็ตาม เมื่อลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายที่ได้รับมีเพียงเจ็บบริเวณข้อศอกและปลายแขนซ้ายมีรอยช้ำเล็กน้อย รักษาประมาณ 2 วัน เท่านี้ ยังไม่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันตัว/บันดาลโทสะ: การใช้ความรุนแรงตอบโต้หลังถูกทำร้ายและข่มเหง
มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด อ.หาว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนยิงและใช้มีดแทงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ถอยออกไปแล้ว อ.คงยืนอยู่ที่เดิม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ของจำเลยที่ 2 ได้ร้องห้ามและวิ่งเข้าไปเพื่อจะแย่งมีดจาก อ.. โดยไม่ปรากฏว่า อ. มีท่าทีจะทำร้ายจำเลยที่ 2 อีกต่อไป อ. เข้าใจว่าจำเลยที่ 1จะเข้ามาทำร้ายตน จึงใช้มีดแทงสวนไป 1 ที จำเลยที่ 1ยังกระโดดเข้ามาหา อ. อีก แล้วเกิดปลุกปล้ำแย่งมีดกันขึ้นจำเลยที่ 1 แย่งไม่ได้ จึงถอยห่างออกไปแล้วใช้ปืนยิง อ. 2 นัดถูกหน้าอก อ. และจำเลยที่ 2 ยกเก้าอี้ขึ้นตีศีรษะ อ. อีก 2 ทีดังนี้ ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันหากแต่เป็นการพยายามฆ่าคนโดยบันดาลโทสะ สำหรับจำเลยที่ 2ยังถือไม่ได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง อ. จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย อ. จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยบันดาลโทสะเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความรุนแรงของการทำร้ายร่างกาย: การสูญเสียฟันเข้าข่ายอันตรายสาหัสหรือไม่
ผู้เสียหายถูกจำเลยทำร้าย ฟันล่างด้านหน้าหักสี่ซี่ฟันที่เหลือยังใช้เคี้ยวอาหารได้ ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมคบคิดใช้ความรุนแรง: จำเลยไม่มีเจตนาให้พวกใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้เสียหาย
จำเลยพาพวกหลายคนไปรับบุตรสาวผู้เสียหายซึ่งเป็นคู่รักของจำเลย ระหว่างพาหนีผู้เสียหายตามไปขัดขวาง พวกของจำเลยใช้ปืนยิงเอาได้รับบาดเจ็บ จำเลยมิได้รู้เห็นในการกระทำของพวกของจำเลย จะถือว่าจำเลยมีเจตนาสมคบกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 435/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามฆ่า: การกระทำรุนแรงด้วยอาวุธมีดโดยเจตนาเล็งผลถึงตาย
ที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่าง จำเลยและผู้เสียหายมิได้วิวาทกันจำเลยใช้มีดดายหญ้ายาวประมาณ 1 ศอกเศษฟันผู้เสียหาย 2 แผล แผลแรกถูกที่ใบหน้าเป็นแผลยาว 11 เซนติเมตร ผู้เสียหายล้มลงจำเลยยังฟันซ้ำเป็นแผลที่สองถูกที่ศีรษะด้านหลังตัดใบหูซ้ายมาถึงเหนือมุมปากซ้ายบาดแผลยาว 17 เซนติเมตร กระดูกคางหักเช่นนี้ เป็นการเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะฟันตรงไหน และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยได้ว่าอาจทำให้ถึงตายได้จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297, 80 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 288, 80, 72 จำคุกจำเลย 5 ปี จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 297 จำคุกจำเลย 2 ปี โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า เช่นนี้ แม้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288, 80 ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยหนักกว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงมาไม่ได้ เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กระทำโดยบันดาลโทสะและมิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1944/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความรุนแรงเพื่อป้องกันสิทธิและข่มเหงน้ำใจ: การป้องกันตัวที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ขึ้นไปบนรถจำเลยและพยายามให้ผู้โดยสารซึ่งซื้อตั๋วรถจำเลยแล้วไปโดยสารรถโจทก์ จำเลยขัดขวางมิให้ผู้โดยสารไปกับรถโจทก์โจทก์ใช้มือผลักอกจำเลยและใช้มีดแทงจำเลยใช้มือปัดแขนโจทก์พร้อมกับเอี้ยวตัวหลบ มีดจึงไม่ถูกจำเลย แล้วจำเลยจึงใช้มีดแทงโจทก์ไป 1 ที ถูกที่สีข้างด้านขวาในขณะที่โจทก์เซเอี้ยวไปทางซ้ายการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิพอสมควรแก่เหตุโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1941/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและการป้องกันสิทธิ: การใช้ความรุนแรงหลังพ้นจากภยันตรายไม่ใช่การป้องกัน
น. ไม่มีอำนาจตามกฎหมายจับกุมจำเลยใช้ปืนขู่บังคับจำเลยเพื่อจะพาไปหาผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างทางมีคนแย่งเอาปืนจาก น. ไปได้แล้ว จำเลยจึงใช้มีดพร้าฟัน น. ถูกที่ศีรษะกลางหลังและบั้นเอวดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นป้องกัน
ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยชิงทรัพย์โดยใช้มีดขอฟันทำร้ายจนเกิดอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาเอาทรัพย์ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์และการใช้ความรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษตามความผิดที่แท้จริง
จำเลยทั้งสี่ปล้นบ้านเจ้าทรัพย์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ขึ้นไปปล้นบนบ้านส่วนจำเลยที่ 1 คอยเฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่ริมรั้วขณะจำเลยกำลังทำการปล้นอยู่บนบ้านส่วนจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงพวกเจ้าทรัพย์คนหนึ่งถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคท้าย จำเลยนอกนั้นไม่รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตาย จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ทำนองนั้น มิได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายจากการถูกข่มเหงรุนแรงขณะปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ขณะเกิดเหตุจำเลยกำลังปฏิบัติงานแจกยาแก่ประชาชน ผู้ตายกล่าวคำหยาบคายก้าวร้าวต่อบุคคลที่กำลังปฏิบัติงาน เมื่อจำเลยห้ามก็ถูกผู้ตายซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเข้าชกต่อย จำเลยต่อยตอบแต่ผู้ตายก็ไม่หยุดยั้ง การข่มเหงเป็นเหตุให้จำเลยต้องใช้ปืนยิงผู้ตายเช่นนี้ กรณีถือว่าจำเลยถูกข่มเหงร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
of 14