คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความร้ายแรง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษคดีพนัน: ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษได้ แม้โจทก์มิได้นำสืบความร้ายแรง และไม่ต้องกล่าวถึงคำแก้ของจำเลยโดยละเอียด
การกระทำความผิดใด เป็นภัยร้ายแรงต่อ ส่วนรวมหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป โจทก์มิต้องนำสืบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และสภาพความผิดดังกล่าว ศาลอาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประกอบการพิจารณาลงโทษจำเลยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ ดุลพินิจ กำหนดโทษจำคุกจำเลยเสียใหม่ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ตลอดจนคำแก้ อุทธรณ์ของจำเลยประกอบกันด้วย แล้ว ไม่จำเป็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง หยิบยกเอาคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยขึ้นมาว่ากล่าวให้ปรากฏรายละเอียดประการอื่นโดยเฉพาะ แต่ ประการใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเครื่องหมายการค้าและการตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิจารณาความร้ายแรงและเหตุผลในการรอการลงโทษ
จำเลยตั้ง โรงงานใช้ เครื่องจักรมีกำลังรวมทั้งหมดเป็นจำนวนถึง 52.2 แรงม้า ใช้ คนงานถึง 50 คน ทำการปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นรวม 3 ราย ทำการผลิตเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ถือ ได้ ว่าเป็นความผิดร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยว่ากระทำการปลอมเครื่องหมายการค้ามีชื่อ สำหรับกระดุม และพลาสติกสำหรับใช้แขวน ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงริบกระดุมและพลาสติกสำหรับใช้ แขวนของกลางที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไม่ได้ ส่วนผ้าที่ตัด เป็นตัว เสื้อแล้ว แต่ยังไม่ได้เย็บ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐาน ปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ผ้าดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการปลอมเครื่องหมายการค้า จึงไม่อาจริบได้ และการที่โจทก์ขอให้ริบสิ่งของอื่นอีกหลายรายการของกลางนั้น เพียงเท่านี้ไม่อาจทราบว่าของกลางคืออะไรบ้างและเกี่ยวกับการกระทำความผิดอย่างไร จึงไม่อาจริบได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและเหตุป้องกันสิทธิ การพิจารณาเจตนาและความร้ายแรงของการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือวันภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิต ถึงแม้มีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญแต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเครื่องหมายการค้า: ศาลฎีกายืนโทษ ไม่รอการลงโทษ พิจารณาจากความร้ายแรงและปริมาณสินค้า
จำเลยได้ทำหรือผลิตเสื้อยืดและปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายมาจนกระทั่งผู้เสียหายสืบทราบและนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุม มีจำนวนไม่น้อยเฉพาะที่ยึดมาเป็นของกลางเป็นชิ้นส่วนที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยดังนี้ ตามความร้ายแรงและผลการกระทำของจำเลยไม่สมควรรอการลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่กระทำผิดข้อบังคับบริษัท: การพิจารณาความร้ายแรงและการจ่ายค่าชดเชย
การกระทำของลูกจ้างเป็นความผิดต่อข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของนายจ้างหรือไม่ ย่อมพิจารณาจากข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของนายจ้างเป็นเบื้องต้น และเมื่อได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว การกระทำนั้นจะเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ต้องพิจารณาตามข้อ 47(3) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานประกอบอีกชั้นหนึ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3070/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยโดยไม่ตักเตือน ต้องพิจารณาความร้ายแรงของเหตุและปฏิบัติตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
จำเลยเป็นบริษัทรับจ้างเฝ้ายามตามสถานที่ต่างๆโจทก์เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยได้รับคำสั่งให้ไปอยู่เวรที่โรงแรมขณะอยู่เวรโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไปเพราะเหตุน้อยใจที่ถูกผู้จัดการรักษาความปลอดภัยของโรงแรมต่อว่านั้นแม้จะถือว่าเป็นการีฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างและเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ก็ตามแต่พฤติการณ์ดังกล่าวก็มิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงโดยนายจ้างไม่จำต้องตักเตือนเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุนี้โดยไม่ตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือก่อนกรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603-2604/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้าง: การมาประชุมสายและการพิจารณาความร้ายแรงของวินัย
จำเลยเรียกประชุมพนักงานทั้งหมดก่อนเวลาทำงานปกติถึงสองชั่วโมง คำสั่งนัดพนักงานมาประชุมก็ระบุเพียงว่าจำเลยมีความประสงค์จะขอความคิดเห็นและขอความร่วมมือ หาได้ระบุเน้นความสำคัญของหัวข้อประชุมไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่าการประชุมในวันนี้มีเรื่องสำคัญอะไร โจทก์ไม่ได้ขาดประชุมเพียงแต่มาประชุมไม่ทันกำหนดเวลานัดเท่านั้น และไม่ปรากฏว่าได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างไร การกระทำของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจงใจที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือขัดคำสั่งของจำเลย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย หรือเป็นความผิดกรณีที่ร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 และไม่เข้ากรณีที่จะเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการลอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาความร้ายแรงของบาดแผลและเจตนาของผู้กระทำ
จำเลยใช้มีดยาว 8 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วแทงผู้เสียหายถูกที่หัวไหล่ 2 แผล ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล 10 วัน และไม่สามารถประกอบกรณียกิจโดยปกติอีก 2 เดือน โดยไม่ปรากฏว่าตั้งใจเลือกแทงอวัยวะสำคัญนั้น กรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหาย ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 เมื่อมิได้บรรยายว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยตาม มาตรา 297 ไม่ได้ คงลงโทษได้เพียง มาตรา 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า-ทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาความร้ายแรงของการกระทำและอาวุธที่ใช้เพื่อกำหนดความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกาย
จำเลยใช้ไม้ขนาดกว้าง 3 นิ้ว หนา 1 นิ้วครึ่ง ยาว1 วา เท่าที่จะหาได้ในที่เกิดเหตุ ตีหน้าผากผู้เสียหาย1 ที กะโหลกศีรษะแตก รักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 10 วัน แสดงว่าไม่ตั้งใจจะใช้อาวุธที่ร้ายแรงทั้งมิได้ตีซ้ำเมื่อผู้เสียหายล้มลงอยู่ในโอกาสที่จะตีได้อีก สาเหตุเดิมก็เพียงเป็นคนต่างถิ่นไม่ค่อยถูกกัน การบาดเจ็บก็มิได้รุนแรงมากมาย แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80 โดยมิได้บรรยายว่าผู้เสียหายทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ดังนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า จะพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) มิได้ คงลงโทษได้เพียงตาม มาตรา 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างต้องพิจารณาความร้ายแรงของการกระทำโดยเฉพาะ และต้องมีข้อบังคับ/ระเบียบเป็นหลักฐาน
เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน ของนายจ้างเป็นอย่างไร การจะปรับว่าการกระทำของลูกจ้าง เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายอันเป็นกรณีร้ายแรงย่อมปรับไม่ได้ ดังนั้นการที่ลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานขับรถให้พนักงานยกของเฝ้ารถไว้แล้วโทรศัพท์บอกนายจ้างว่าตนจะไม่นำรถกลับเพราะทางราชการห้ามมิให้รถบรรทุกวิ่งในช่วงเวลานั้น เป็นเหตุผลอันสมควรสำหรับลูกจ้างจะถือว่าการละทิ้งรถ ในลักษณะนี้ เป็นกรณีที่ร้ายแรงยังไม่ได้
การที่จะพิจารณาว่าการกระทำใดของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายอันเป็นกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่นั้น จักต้องพิจารณาจากการกระทำนั้น โดยเฉพาะ จะนำเอาความผิดครั้งก่อนๆมาพิจารณาประกอบแล้วถือว่าการกระทำครั้งหลังเป็นกรณีที่ร้ายแรงหาชอบไม่
of 9