พบผลลัพธ์ทั้งหมด 92 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4960/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความล่าช้าในการส่งมอบงานและผลกระทบต่อสิทธิปรับรายวันของผู้ว่าจ้าง
ตามสัญญา ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา หากผู้รับจ้างยังทำงานให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิปรับเป็นรายวัน การที่ผู้รับจ้างทิ้งงานไปแล้ว แต่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาในทันที ทำนองรับเอาความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีไม่เข้าตามข้อกำหนดในสัญญา และคู่กรณีไม่ได้ตกลงเรื่องผู้รับจ้างทิ้งงานไปเป็นพิเศษ โจทก์ในฐานะผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4957/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเหมาค่าก่อสร้าง: ความล่าช้าการจ่ายเงิน, ความเสียหายพิเศษ, และการคาดเห็นเหตุการณ์
จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาตามมาตรฐานงานก่อสร้างฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างระบุว่า"ก่อนทำการก่อสร้างอาคาร ผู้รับจ้างจะต้องดำเนินการทดสอบหาความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกของพื้นดินด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดตามหลักวิชา จำนวนจุดและตำแหน่งที่จะทำการทดสอบให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของวิศวกรของผู้ว่าจ้าง" จากข้อความที่ว่าจำนวนจุดและตำแหน่งที่จะทำการทดสอบให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของวิศวกรผู้ว่าจ้าง แสดงว่าจำเลยต้องส่งช่างไปกำหนดจุดเจาะและตำแหน่งให้โจทก์ก่อน โจทก์ยังไม่สามารถลงมือทำงานได้ทันทีภายหลังจากได้ทำสัญญา การที่จำเลยส่งช่างไปล่าช้าจึงเป็นการผิดเงื่อนไขของสัญญา ข้อฎีกาในเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยอ้างว่าหนี้ระงับไปแล้วแต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ และมิได้รวมอยู่ในประเด็นที่ว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ แม้จำเลยจะนำสืบไว้ในศาลชั้นต้นและกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องนอกประเด็น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ตามสัญญาจ้างก่อสร้างกำหนดให้โจทก์ผู้รับจ้างต้องให้ธนาคารทำหนังสือค้ำประกันจำนวนร้อยละ 5 ของราคาค่าจ้างเหมานำมามอบให้จำเลยและให้โจทก์ต้องนำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกัน ของธนาคารในประเทศมามอบให้จำเลยเพื่อเป็นประกันการเบิกเงินล่วงหน้าจำนวนร้อยละ 15 ของค่าจ้างเมื่อวงเงินตามสัญญาจ้างทั้งสองฉบับมีจำนวนถึง 33,900,000 บาท และ 35,350,000 บาท ตามลำดับโจทก์จึงต้องขอเครดิตจากธนาคาร โดยโจทก์ต้องนำเงินร้อยละ50 ที่โจทก์ได้รับล่วงหน้าจากจำเลยมาฝากประจำไว้เป็นประกันและโจทก์ต้องมอบอำนาจให้ธนาคารรับเงินค่าจ้างตามสัญญาจากจำเลยแทนโจทก์การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ล่าช้าทำให้โจทก์ต้องขายลดตั๋วแลกเงินแก่ธนาคารเป็นจำนวนร้อยละ 80 ของจำนวนที่โจทก์ได้รับค่าจ้างแต่ละงวดเพื่อนำมาใช้จ่ายในการก่อสร้างซึ่งโจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยแก่ธนาคารอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีโจทก์จึงได้รับความเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าวตามดอกเบี้ยและระยะเวลาที่ล่าช้า ซึ่งโจทก์เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้โดยแจ้งให้ทราบแล้วว่าโจทก์มีเงินหมุนเวียนไม่เพียงพอ จำเป็นต้องกู้เงินธนาคารและเสียดอกเบี้ยจำนวนมาก กรณีดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์ที่โจทก์ต้องขอสินเชื่อและหลักประกันทางการเงินจากธนาคารและต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารล่วงหน้าก่อนแล้ว การที่จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์ล่าช้าทำให้โจทก์เสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่จำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายนั้นต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4944/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์: เหตุผลความล่าช้าในการคัดเอกสารไม่ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษ
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อ้างว่า โจทก์ขอ คัดคำพิพากษาและคำเบิกความพยานโจทก์ไว้แล้ว แต่ยังคัดไม่ได้ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขวนขวายมาติดต่อเจ้าหน้าที่ศาลอย่างไร หรือไม่ อันจะมีเหตุขัดข้องคัดไม่ได้ทั้งตามคำร้องของโจทก์ถือ ไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ จึงต้องยกคำร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4944/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์: เหตุผลความล่าช้าในการคัดเอกสารไม่เพียงพอ
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์อ้างเหตุแต่เพียงว่าโจทก์ขอคัดคำพิพากษาและคำเบิกความพยานโจทก์ไว้แล้ว แต่ยังคัดไม่ได้เท่านั้นโดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้ขวนขวายมาติดต่อเจ้าหน้าที่ศาลอย่างไรหรือไม่ ถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4138/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับกับการบอกเลิกสัญญา: สิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับรายวันย่อมสิ้นสุดลงเมื่อมีการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา
สัญญาซื้อขายข้อ 9 ระบุว่า "ข้อ 9 เบี้ยปรับสำหรับการส่งของล่าช้า หากผู้ขายมิได้ส่งมอบของให้แก่ผู้ซื้อได้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาส่งมอบตามที่ระบุไว้ในสัญญา ไม่ว่าความล่าช้านั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใดก็ตาม... ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายเป็นเงินวันละเศษ 1 ส่วน 5 ของหนึ่งส่วนร้อย (0.2%) ต่อวัน หรือส่วนของวันของราคาตามสัญญาของหน่วยสำเร็จแต่ละหน่วยที่ส่งมอบไม่ครบถ้วน ทั้งนี้ จนกว่าผู้ขายได้ส่งมอบของให้ได้ครบถ้วนตามสัญญา..." และข้อ 11 กำหนดว่า หากผู้ขายละเลยการปฏิบัติอย่างใด ๆ ตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้ขายจะต้องรับผิดชอบสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุทำผิดสัญญา นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังจะได้รับค่าชดเชยจากเอกสารค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาที่ผู้ซื้อถืออยู่ด้วย ดังนี้ ตามสัญญาข้อ 9 เป็นการกำหนดเบี้ยปรับในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบของแก่ผู้ซื้อให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาและผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับยอมให้ผู้ขายนำสิ่งของที่ซื้อขายมาส่งมอบต่อไป ผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับรายวันจากผู้ขายตามสัญญาข้อ 9 ได้ นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันที่ส่งมอบของแก่ผู้ซื้อครบถ้วนตามสัญญา
จำเลยที่ 1 ผู้ขายไม่ส่งมอบของแก่โจทก์ผู้ซื้อเลย และโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามสัญญาซื้อขายข้อ 11 ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับรายวันจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขายข้อ 9 ได้อีก
จำเลยที่ 1 ผู้ขายไม่ส่งมอบของแก่โจทก์ผู้ซื้อเลย และโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามสัญญาซื้อขายข้อ 11 ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับรายวันจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขายข้อ 9 ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5327/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความล่าช้าในการตรวจรับสินค้าและการปฏิบัติตามระเบียบพัสดุ ทำให้จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชำระราคาสินค้า
จำเลยทำสัญญาซื้อลูกสูบจากโจทก์ แม้ปรากฏว่าลูกสูบชุดแรกที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยเป็นลูกสูบที่ไม่ถูกต้องตามสัญญา แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์รู้ดีอยู่แล้วว่าลูกสูบดังกล่าวเป็นลูกสูบที่ไม่ถูกต้อง ยังขืนนำมาส่งมอบให้แก่จำเลย ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า จำเลยมีความสงสัยว่าลูกสูบนั้นไม่ถูกต้องตามสัญญาจึงได้บันทึกในใบส่งของว่า รับลูกสูบไว้เพื่อตรวจสอบ จำเลยจึงมีหน้าที่ตรวจสอบแล้วแจ้งให้โจทก์ทราบว่าถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ เพื่อโจทก์จะได้จัดการหามาเปลี่ยนหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อสัญญา จำเลยก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบดังกล่าว ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือถึงโจทก์ว่า บัดนี้ได้เกินกำหนดอายุสัญญาแล้ว โจทก์ไม่ส่งของให้จำเลยอันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ได้ยืนยันว่าส่งลูกสูบให้จำเลยแล้ว แทนที่จำเลยจะมีหนังสือชี้แจงต่อโจทก์ว่าสินค้าของโจทก์ที่ส่งไปชุดแรกไม่ถูกต้องอย่างไร จำเลยกลับมีหนังสือเตือนให้โจทก์ส่งของตามสัญญาและให้นำค่าปรับมาชำระ โจทก์จึงยืนยันกลับไปยังจำเลยว่าส่งสินค้าให้จำเลยถูกต้องตามสัญญาแล้ว ต่อมาเพื่อตัดความรำคาญ โจทก์จึงส่งสินค้าลูกสูบอีกชุดหนึ่งให้จำเลย จำเลยรับว่าลูกสูบชุดหลังถูกต้องตามสัญญา ดังนี้ การที่โจทก์ส่งลูกสูบที่ถูกต้องให้จำเลยล่าช้าเกิดจากความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2521 ข้อ 48ประกอบระเบียบกรมชลประทานว่าด้วยการบริหารงานด้านพัสดุ พ.ศ.2522 ข้อ 91 โจทก์จึงไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิปรับโจทก์ และเมื่อจำเลยได้รับลูกสูบชุดหลังไว้ถูกต้องตามสัญญาจำเลยจะต้องชำระราคาสินค้าดังกล่าวให้โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5327/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความล่าช้าในการตรวจรับสินค้าและการปฏิบัติตามระเบียบพัสดุ ทำให้จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยทำสัญญาซื้อลูกสูบจากโจทก์ แม้ปรากฏว่าลูกสูบชุดแรกที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยเป็นลูกสูบที่ไม่ถูกต้องตามสัญญา แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์รู้ดีอยู่แล้วว่าลูกสูบดังกล่าวเป็นลูกสูบที่ ไม่ถูกต้อง ยังขืนนำมาส่งมอบให้แก่จำเลย ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าจำเลยมีความสงสัยว่าลูกสูบนั้นไม่ถูกต้องตามสัญญาจึงได้บันทึก ในใบส่งของว่า รับลูกสูบไว้เพื่อตรวจสอบ จำเลยจึงมีหน้าที่ ตรวจสอบแล้วแจ้งให้โจทก์ทราบว่าถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ เพื่อ โจทก์จะได้จัดการหามาเปลี่ยนหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อสัญญา จำเลยก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบดังกล่าว ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือ ถึงโจทก์ว่าบัดนี้ได้เกินกำหนดอายุสัญญาแล้ว โจทก์ไม่ส่งของให้ จำเลยอันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ได้ยืนยันว่าส่งลูกสูบให้จำเลยแล้ว แทนที่จำเลยจะมีหนังสือชี้แจงต่อโจทก์ว่าสินค้าของโจทก์ที่ส่งไป ชุดแรกไม่ถูกต้องอย่างไร จำเลยกลับมีหนังสือเตือนให้โจทก์ส่งของตาม สัญญาและให้นำค่าปรับมาชำระ โจทก์จึงยืนยันกลับไปยังจำเลยว่า ส่งสินค้าให้จำเลยถูกต้องตามสัญญาแล้ว ต่อมาเพื่อตัดความรำคาญ โจทก์จึงส่งสินค้าลูกสูบอีกชุดหนึ่งให้จำเลย จำเลยรับว่าลูกสูบ ชุดหลังถูกต้องตามสัญญา ดังนี้ การที่โจทก์ส่งลูกสูบที่ถูกต้อง ให้จำเลยล่าช้าเกิดจากความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ซึ่งไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2521 ข้อ 48 ประกอบระเบียบกรมชลประทานว่าด้วยการ บริหารงานด้านพัสดุ พ.ศ. 2522ข้อ 91 โจทก์จึงไม่ใช่เป็นฝ่าย ผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิปรับโจทก์และเมื่อจำเลยได้รับลูกสูบ ชุดหลังไว้ถูกต้องตามสัญญาจำเลยจะต้องชำระราคาสินค้าดังกล่าว ให้โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องชำระดอกเบี้ย แก่โจทก์นับแต่วันผิดนัด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความล่าช้าในคดีเช็ค: ผลกระทบต่ออายุความและความเป็นคำร้องทุกข์
ข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีตอนแรกระบุว่า โจทก์มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ให้ได้รับโทษตามกฎหมาย แต่ในตอนท้ายระบุว่าร้อยเวรสอบสวนได้รับแจ้งไว้แล้ว สอบถาม ผู้แจ้งยืนยันว่ายังไม่มอบคดีแก่พนักงานสอบสวน เพียงแต่ต้องการนำเช็คไปฟ้องร้องต่อศาลทางหนึ่งก่อน ดังนี้ คำของโจทก์ที่แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า ยังไม่มอบคดีต่อพนักงานสอบสวน แสดงว่าโจทก์กล่าวหาโดยมิได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ จึงไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7)
คดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดคดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดคดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับสัญญาก่อสร้างสูงเกินส่วน ศาลลดลงได้, ความล่าช้าจากทั้งสองฝ่าย, ค่าเสียหายจากหนังสือค้ำประกัน
โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 เป็นรายวันจนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จโดยการกระทำของผู้รับจ้างคนใหม่ ถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้า การที่งานก่อสร้างล่าช้าเป็นเพราะการดำเนินการของโจทก์ด้วย โจทก์จ้างผู้รับจ้างคนใหม่ทำงานงวดที่เหลือในวงเงินเท่ากับที่จะต้องชำระให้จำเลยที่ 1 ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับเหตุแห่งความล่าช้าค่าจ้างก่อสร้างและระยะเวลาที่ผู้รับจ้างคนใหม่ใช้ในการก่อสร้างแล้ว เบี้ยปรับดังกล่าวสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
ตามสัญญาจ้างไม่มีการวางเงินมัดจำมีแต่หนังสือค้ำประกันความรับผิดของธนาคาร ดังนี้ เงินที่ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระให้แก่ผู้ว่าจ้างเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายฐานผิดสัญญา.(ที่มา-ส่งเสริม)
ตามสัญญาจ้างไม่มีการวางเงินมัดจำมีแต่หนังสือค้ำประกันความรับผิดของธนาคาร ดังนี้ เงินที่ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระให้แก่ผู้ว่าจ้างเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายฐานผิดสัญญา.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปรับสัญญา, เบี้ยปรับสูงเกินส่วน, ความล่าช้าของผู้รับจ้าง-ผู้ว่าจ้าง, การชำระค่าเสียหายจากค้ำประกัน
แม้ตามสัญญาโจทก์จะมีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 เป็นรายวันจนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จโดยการกระทำของผู้รับจ้างคนใหม่ แต่ค่าปรับที่ระบุไว้ในสัญญาถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้า ทั้งการที่งานก่อสร้างเสร็จล่าช้าเป็นเพราะการดำเนินการของโจทก์ด้วยส่วนหนึ่งประกอบกับโจทก์จ้างผู้รับจ้างคนใหม่ทำงานงวดที่เหลือต่อในวงเงินเท่ากับที่จะต้องชำระให้จำเลยที่ 1 หากจำเลยก่อสร้างเสร็จตามสัญญา เบี้ยปรับที่จะพึงริบตามสัญญาจึงสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ตามสัญญาจ้างไม่มีการวางเงินมัดจำ แต่มีการทำหนังสือค้ำประกันความรับผิดของธนาคารภายในวงเงินร้อยละ 5 ของค่าจ้าง ซึ่งตามสัญญาผู้ว่าจ้างจะคืนเงินประกันหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารให้แก่ผู้รับจ้างเงินที่ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระให้แก่ผู้ว่าจ้างเมื่อผู้รับจ้างผิดสัญญาไม่ใช่เงินมัดจำ แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายฐานผิดสัญญา