พบผลลัพธ์ทั้งหมด 82 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุความผิดฐานขายสุราที่ทำขึ้นเอง แม้ไม่ได้ระบุมาตราโดยตรงในคำขอท้ายฟ้อง ศาลยังลงโทษได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขายสุราแช่ 1 ถุง ที่จำเลยทำขึ้นเองและมีไว้ในครอบครองจำนวน 2 โอ่ง ปริมาตร 220 ลิตร โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นน้ำสุราที่ทำขึ้นโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นกรณีที่โจทก์มุ่งประสงค์ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ทำสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้ขายสุราที่จำเลยทำขึ้นนั้นด้วย ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 30 และโจทก์ก็ได้ระบุมาในคำขอท้ายฟ้องแล้วโจทก์มิได้ฟ้องและประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานขายสุรารู้ว่าทำขึ้นโดยฝ่าฝืนมาตรา 5 อันเป็นความผิดตามมาตรา 31 โจทก์จึงไม่จำต้องระบุมาตรา 31 มาในคำขอท้ายฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอม แม้บรรยายฟ้องถูกต้อง แต่คำขอท้ายฟ้องไม่ระบุมาตราที่ใช้ลงโทษ ศาลยกฟ้องได้
การใช้เอกสารปลอมเป็นการกระทำอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ฐานหนึ่ง แม้มาตรา 268 จะบัญญัติว่า ผู้ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 264, 265 ฯลฯ ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ก็ตาม ก็มิใช่จะถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดฐานเดียวกันกับความผดนั้น ๆ ฉะนั้นเมื่อโจทก์บรรยายการกระทำผิดในข้อหานี้มาในคำฟ้อง แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 มิได้ระบุมาตรา 268 ด้วย จะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษในข้อหาใช้ป้ายวงกลมแสดงการชำระภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมแล้วหาได้ไม่ จำเลยมิได้เป็นผู้ทำปลอม แต่เป็นผู้ใช้ป้ายและแผ่นป้ายดังกล่าวปลอม ซึ่งโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษ จึงต้องยกฟ้องข้อหานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมและการขอโทษที่ไม่ครบถ้วนตามกฎหมายอาญามาตรา 268 และ 265
การใช้เอกสารปลอมเป็นการกระทำอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268ฐานหนึ่งแม้มาตรา268จะบัญญัติว่าผู้ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา264,265ฯลฯต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆก็ตามก็มิใช่จะถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดฐานเดียวกันกับความผดนั้นๆฉะนั้นเมื่อโจทก์บรรยายการกระทำผิดในข้อหานี้มาในคำฟ้องแต่คำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264,265มิได้ระบุมาตรา268ด้วยจะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษในข้อหาใช้ป้ายวงกลมแสดงการชำระภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมแล้วหาได้ไม่จำเลยมิได้เป็นผู้ทำปลอมแต่เป็นผู้ใช้ป้ายและแผ่นป้ายดังกล่าวปลอมซึ่งโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจึงต้องยกฟ้องข้อหานี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3789/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมพิจารณาคดีและการนับโทษต่อกัน แม้ไม่มีคำขอท้ายฟ้อง ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะนับโทษต่อจากคดีอื่นได้
เดิมคดีนี้และคดีอื่น ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาเข้าด้วยกันแต่เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้แยกพิพากษาเป็นรายคดีซึ่ง โจทก์ได้ยื่นคำขอให้นับโทษต่อกันทุกสำนวนไว้ก่อนศาลพิพากษาในสำนวนหลักที่มีการรวมพิจารณา และศาลชั้นต้นก็ลงโทษจำคุกจำเลยทุกสำนวน จึงชอบที่ศาลจะนับโทษจำเลยติดต่อกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคำขอขับไล่ที่ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย และขอบเขตการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่จำเลย ขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทและเรียกค่าเสียหายศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้ง โดยฟังว่าจำเลยมิได้รับความเสียหาย แต่ไม่ได้วินิจฉัยว่าจะให้ขับไล่โจทก์ตามฟ้องแย้งหรือไม่ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นเสียแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้น เพื่อให้พิพากษาใหม่ได้ตามมาตรา 243(1) แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสมควรวินิจฉัยไปเลยทีเดียว โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปก็ชอบที่จะกระทำได้ กรณีมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์ดังนั้นแม้จำเลยจะอุทธรณ์แต่ในเรื่องค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาให้ขับไล่โจทก์ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอบังคับห้ามบุกรุกที่ดิน: ศาลไม่เกินคำขอแม้เนื้อที่พิพาทเพิ่มขึ้นจากการทำแผนที่
โจทก์ฟ้องโดยประสงค์ขอให้ศาลบังคับมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาทำนาหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ส่วนที่ดินดังกล่าวมีเท่าไรนั้น แม้ตามคำขอท้ายฟ้องจะระบุว่า 45 ไร่ ก็เพียงแต่ประมาณเอา ครั้นเมื่อ มีการทำแผนที่พิพาท จำเลยชี้เขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ 57 ไร่เศษ ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันในเนื้อที่ 57 ไร่เศษ และเป็นที่ดินที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลย ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่คำนวณภายหลังจากที่ได้มีการทำแผนที่พิพาทแล้ว ดังนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 57 ไร่เศษ จึงไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิรื้อรั้วเพื่อใช้ทางจำเป็น คำขอท้ายฟ้องเชื่อมโยงกับการก่อสร้างรั้วปิดกั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เกินคำพิพากษาเดิม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาในชั้นบังคับคดีว่า โจทก์มีสิทธิรื้อรั้วในที่พิพาทเพื่อใช้เป็นทางจำเป็นได้ตามคำพิพากษาเดิม ถ้าไม่ให้โจทก์มีสิทธิรื้อรั้วคำพิพากษาของศาลฎีกาก็ย่อมไม่มีความหมายบังคับอะไรไม่ได้เพราะมีรั้วกำแพงคอนกรีตซึ่งจำเลยที่ 2 ก่อสร้างปิดขวางอยู่ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ห้ามจำเลยที่ 2 และบริวารกระทำการขัดขวางจำเลยที่ 1 และโจทก์ไม่ให้จำเลยที่ 2 และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินบางส่วน ที่จำเลยที่ 1 จัดการให้เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ถึงทางสาธารณะนั้นย่อมมาจากคำบรรยายฟ้องในเรื่องที่จำเลยที่ 2 ก่อสร้างกำแพงปิดกั้นการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่เกินกว่าคำพิพากษาเดิมและไม่เกินคำของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำขอท้ายฟ้องที่ให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาจำเลย และการบังคับคดีตามสัญญาให้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินให้ ฉ. และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง จำเลยร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 ทั้งแปลงก่อน โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจะแบ่งให้ ฉ. ครึ่งหนึ่งภายหลัง และจะระบุข้อตกลงไว้ในหนังสือสัญญาให้ด้วย โจทก์จึงลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญาให้ ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่แบ่งที่ดินให้ ฉ. มิได้ระบุข้อตกลงไว้ในสัญญาให้ และได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จำนองที่พิพาทไว้กับธนาคาร สัญญาให้จึงไม่สมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนจำนอง โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และแบ่งที่พิพาทที่ไถ่ถอนแล้วให้ ฉ. ครึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ ในกรณีที่โจทก์ชนะคดีและจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจะด้วยเหตุใดก็ตาม โจทก์ก็อาจไถ่ถอนที่ดินพิพาทอันมีผลผูกพันส่วนที่จะยกให้ ฉ. เสียเอง แล้วมาฟ้องเรียกร้องเอาค่าไถ่ถอนคืนจากจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้ สำหรับผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจร้องสอดหรืออาจถูกเรียกให้เข้ามาในคดีนี้ได้อยู่แล้ว หรือคู่กรณีจะเลือกฟ้องร้องกันใหม่เป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้
ความประสงค์ของโจทก์ตามคำขอก็คือต้องการให้จำเลยโอนที่พิพาทครึ่งหนึ่งให้ ฉ. โดยปลอดจำนองเท่านั้น ซึ่งถ้าปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์รับที่ดินพิพาทไว้โดยมีข้อตกลงดังกล่าว จำเลยก็ถูกผูกมัดโดยสัญญาที่จะต้องโอนที่ดินให้ ฉ. ตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่ ฉ. จะรับการให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชั้นบังคับคดี หาทำให้คำขอของโจทก์บังคับไม่ได้แต่อย่างไรไม่
ความประสงค์ของโจทก์ตามคำขอก็คือต้องการให้จำเลยโอนที่พิพาทครึ่งหนึ่งให้ ฉ. โดยปลอดจำนองเท่านั้น ซึ่งถ้าปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์รับที่ดินพิพาทไว้โดยมีข้อตกลงดังกล่าว จำเลยก็ถูกผูกมัดโดยสัญญาที่จะต้องโอนที่ดินให้ ฉ. ตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่ ฉ. จะรับการให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชั้นบังคับคดี หาทำให้คำขอของโจทก์บังคับไม่ได้แต่อย่างไรไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ: อำนาจศาล, คำขอท้ายฟ้อง, การบังคับคดี
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเพราะเห็นว่าคำชี้ขาด ของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายนั้น เป็นคำสั่งในอำนาจของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 218 วรรคท้าย มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 243 (1) ดังนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วสั่งให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะพิพากษาว่า ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ แต่คำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการขอให้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีผลบังคับโดยคำพิพากษาของศาลตามมาตรา 221 นั่นเอง มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งอย่างธรรมดา เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาตามคำชี้ขาดนั้นเสียเองได้ หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ไม่
ในกรณีดังกล่าว การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาเพียง 50 บาท สืบเนื่องมาจากเรื่องที่โจทก์เข้าใจอำนาจของศาลอุทธรณ์ผิด ซึ่งศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ถูกต้องได้เมื่อจะพิพากษา
อนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท ให้โจทก์ หากไม่คืนภายในเวลาที่กำหนดก็ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งขายที่ดินที่พิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง เงินที่ขายได้ตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เดียว ดังนี้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีนี้ก็คือ ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท ให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ส่วนที่อนุญาโตตุลาการกล่าวต่อไปนั้น หาใช่เป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ เป็นแต่เพียงคำเสนอแนะว่า หากจำเลยไม่คืนเงินให้โจทก์ภายในกำหนด ก็ให้เสนอคดีต่อศาลต่อไปเท่านั้น ส่วนวิธีการบังคับคดีซึ่งศาลจะสั่งขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวหรือไม่ หรือขายทอดตลาดได้เงินเท่าใด ให้เป็นของใครนั้น ย่อมอยู่ภายใต้บทบัญญัติในภาค 4 ลักษณะแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ฉะนั้น คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยขายได้เงินเท่าใด ให้เป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวนั้น ย่อมเป็นการขัดต่อวิธีการบังคับคดีดังกล่าว ศาลจะพิพากษาตามคำขอของโจทก์ในข้อนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท ให้แก่โจทก์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเท่านั้น
ในกรณีดังกล่าว การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาเพียง 50 บาท สืบเนื่องมาจากเรื่องที่โจทก์เข้าใจอำนาจของศาลอุทธรณ์ผิด ซึ่งศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ถูกต้องได้เมื่อจะพิพากษา
อนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท ให้โจทก์ หากไม่คืนภายในเวลาที่กำหนดก็ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งขายที่ดินที่พิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง เงินที่ขายได้ตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เดียว ดังนี้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีนี้ก็คือ ชี้ขาดให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาท ให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ส่วนที่อนุญาโตตุลาการกล่าวต่อไปนั้น หาใช่เป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ เป็นแต่เพียงคำเสนอแนะว่า หากจำเลยไม่คืนเงินให้โจทก์ภายในกำหนด ก็ให้เสนอคดีต่อศาลต่อไปเท่านั้น ส่วนวิธีการบังคับคดีซึ่งศาลจะสั่งขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวหรือไม่ หรือขายทอดตลาดได้เงินเท่าใด ให้เป็นของใครนั้น ย่อมอยู่ภายใต้บทบัญญัติในภาค 4 ลักษณะแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ฉะนั้น คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยขายได้เงินเท่าใด ให้เป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวนั้น ย่อมเป็นการขัดต่อวิธีการบังคับคดีดังกล่าว ศาลจะพิพากษาตามคำขอของโจทก์ในข้อนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท ให้แก่โจทก์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสโมฆะและการรับบำนาญตกทอด: ศาลวินิจฉัยสถานะการสมรสเพื่อยืนยันสิทธิบำนาญได้ แม้คำขอท้ายฟ้องไม่ได้กล่าวถึงโมฆะโดยตรง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวง ฉ. มีสิทธิได้รับเงินบำนาญตกทอดของหลวง ฉ. และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับเงินรายนี้การที่ศาลวินิจฉัยด้วยว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวง ฉ. เป็นโมฆะ โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวง ฉ. ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องขอรับเงินรายนี้ไม่ถือว่าพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสและการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวง ฉ. เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าหลวง ฉ.ถึงแก่ความตายแล้ว การสมรสย่อมสิ้นสุดลง จึงเป็นฟ้องที่ไม่ควรรับไว้พิจารณา เพราะคำขอของโจทก์ไม่เกิดผลอะไรแก่สิทธิในครอบครัวเป็นเรื่องที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นตามคำขอของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสและการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวง ฉ. เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าหลวง ฉ.ถึงแก่ความตายแล้ว การสมรสย่อมสิ้นสุดลง จึงเป็นฟ้องที่ไม่ควรรับไว้พิจารณา เพราะคำขอของโจทก์ไม่เกิดผลอะไรแก่สิทธิในครอบครัวเป็นเรื่องที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นตามคำขอของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ