พบผลลัพธ์ทั้งหมด 557 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเรียกค่าเสียหาย: การดำเนินคดีซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ต้องเป็นการฟ้องร้องระหว่างคู่ความเดียวกัน
การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 เป็นการห้ามศาลไม่ให้ดำเนินคดีนั้นต่อไปอีกจะเป็นทั้งคดีหรือเฉพาะแต่ประเด็นใดประเด็นหนึ่งก็ได้ซึ่งต้องเป็นคู่ความเดียวกัน เมื่อคดีนี้โจทก์จำเลยยังไม่เคยดำเนินคดีฟ้องร้องว่ากล่าวกันให้อีกฝ่ายหนึ่งรับผิดแต่อย่างใด กรณีจึงไม่เข้าตามมาตรา 144 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง กรณีคู่ความต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินตาม น.ส. 3 ก. ของโจทก์ซึ่งให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จำเลยมิได้ต่อสู้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวอันจะทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
ในชั้นบังคับคดี ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับบริวารของจำเลยให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ เมื่อคู่ความในคดีเดิมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสองและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสาม
ในชั้นบังคับคดี ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับบริวารของจำเลยให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ เมื่อคู่ความในคดีเดิมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสองและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8149/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่มรณะ และผลของการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ว. ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะ โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลอุทธรณ์จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ต่อเมื่อมีบุคคลเข้าแทนที่ผู้มรณะก่อน และจะต้องมีคำสั่งในการที่จะเข้ามาเป็นคู่ความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 , 44 การที่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งเรื่องการขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่และพิพากษาคดีไปจึงไม่ชอบ แต่เนื่องจากคดีนี้ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรสั่งคำร้องขอเข้าเป็นผู้แทนจำเลยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7709/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเป็นคู่ความ: ผู้ที่เป็นคู่ความเดิมแล้ว ไม่สามารถร้องสอดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57
ป.วิ.พ. มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่า เฉพาะแต่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความเท่านั้นที่จะเข้ามาในคดีด้วยการร้องสอด แต่ผู้ร้องสอดเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีอยู่แล้ว จึงไม่ใช่บุคคลภายนอก ไม่อาจร้องสอดเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 วรรคหนึ่ง (1) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7709/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดต้องเป็นบุคคลภายนอกคดี การเป็นคู่ความเดิมไม่อาจร้องสอดได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่าเฉพาะแต่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความเท่านั้นที่จะเข้ามาในคดีด้วยการร้องสอด แต่จำเลยที่ 3 เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้ว แม้จำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ละเลยไม่ต่อสู้คดีกับโจทก์ จำเลยที่ 3ต้องการเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนในบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ตาม จำเลยที่ 3 ก็ไม่ใช่บุคคลภายนอก ไม่อาจร้องสอดเข้ามาในคดีตามมาตรา 57 วรรคหนึ่ง(1) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7442/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมรณะของคู่ความระหว่างพิจารณาคดี ศาลต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.42 ก่อนมีคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์และปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ว่าส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมแสดงว่าศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมตั้งแต่ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับการมรณะของคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อสั่งเกี่ยวกับความมรณะของจำเลยที่ 2 แล้วมีคำพิพากษาใหม่ต่อไป การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2รวมทั้งมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาฎีกาแก่จำเลยที่ 2 และมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ล้วนเป็นคำสั่งและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับข้อเท็จจริงร่วมกันของคู่ความมีผลผูกพันศาล ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม
คู่ความตกลงท้ากันว่าหากเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินของโจทก์แล้วปรากฏว่ารั้วลวดหนามที่จำเลยทำขึ้นอยู่ในเนื้อที่ดังกล่าว จำเลยยอมแพ้แต่หากรั้วดังกล่าวอยู่นอกเนื้อที่ โจทก์ยอมแพ้ หลังจากการรังวัดที่ดินดังกล่าวคู่ความตรวจดูแผนที่พิพาทและบันทึกการนำชี้แนวเขตตามที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งมาแล้วแถลงรับร่วมกันว่าเสารั้วคอนกรีตขึงด้วยลวดหนามอยู่ภายในที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาท ดังนี้ แม้ในแผนที่พิพาทและบันทึกการชี้แนวเขตไม่ปรากฏความเห็นของเจ้าพนักงานที่ดินว่าเสารั้วคอนกรีตขึงด้วยลวดหนามที่จำเลยทำขึ้นรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ แต่ในวันที่เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัด ทั้งสองฝ่ายต่างไปนำชี้แนวเขตที่ดินของตนย่อมต้องทราบดีว่าเสารั้วคอนกรีตขึงด้วยลวดหนามที่จำเลยทำขึ้นดังกล่าวรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ เมื่อคู่ความต่างลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งมีข้อความระบุว่าคู่ความแถลงรับร่วมกันว่า เสารั้วคอนกรีตขึงด้วยลวดหนามอยู่ภายในที่ดินตามโฉนดพิพาทโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ย่อมต้องถือว่าคู่ความยอมรับความถูกต้องของข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ดำเนินการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยจึงเป็นอันถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2930/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการอนุญาตถอนฟ้อง พิจารณาผลกระทบต่อทุกฝ่าย มิใช่เฉพาะโจทก์
การที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลซึ่งนอกจากพิจารณาถึงความสุจริตใน การดำเนินคดีของโจทก์แล้ว ศาลจะต้องพิจารณาถึงผลได้ผลเสียของคู่ความทุกฝ่ายอีกด้วย มิใช่จะพิจารณาแต่เพียงผลได้ผลเสียของโจทก์ผู้ขอถอนฟ้องแต่ฝ่ายเดียว
หลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้ว โจทก์ได้นำคำฟ้องมายื่นใหม่โดยโจทก์ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลง คำฟ้องเดิมหลายแห่งเพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มิได้เปลี่ยนแปลงจำนวนที่ดินอันเป็นสาระสำคัญของคำมั่นว่าจะ ขายที่ดินของจำเลยและตามคำฟ้องเดิมบรรยายว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 เวลา 8.30 นาฬิกา โจทก์พร้อมด้วย ว. ได้ไปที่สำนักงานที่ดินตามที่ได้นัดหมายไว้กับจำเลย แต่ในคำฟ้องที่โจทก์นำมายื่นใหม่ไม่ได้ระบุ ว. นั้น ชั้นพิจารณา ในคดีเดิมทั้งโจทก์และ ว. ไม่ได้เบิกความถึงว่า ว. ได้ไปสำนักงานที่ดินในวันเวลาดังกล่าว จึงไม่ทำให้เห็นว่า พยาน โจทก์ทั้งสองเบิกความแตกต่างหรือขัดแย้งกันในเรื่องนี้ นอกจากนั้นคำฟ้องที่โจทก์นำมายื่นใหม่มีข้อความเพิ่มเติมจาก คำฟ้องเดิมว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ช. เป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลย ก็เป็นการเพิ่มเติมคำฟ้องเพื่อให้สมบูรณ์ขึ้น ดังนี้ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดี
หลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้ว โจทก์ได้นำคำฟ้องมายื่นใหม่โดยโจทก์ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลง คำฟ้องเดิมหลายแห่งเพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มิได้เปลี่ยนแปลงจำนวนที่ดินอันเป็นสาระสำคัญของคำมั่นว่าจะ ขายที่ดินของจำเลยและตามคำฟ้องเดิมบรรยายว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 เวลา 8.30 นาฬิกา โจทก์พร้อมด้วย ว. ได้ไปที่สำนักงานที่ดินตามที่ได้นัดหมายไว้กับจำเลย แต่ในคำฟ้องที่โจทก์นำมายื่นใหม่ไม่ได้ระบุ ว. นั้น ชั้นพิจารณา ในคดีเดิมทั้งโจทก์และ ว. ไม่ได้เบิกความถึงว่า ว. ได้ไปสำนักงานที่ดินในวันเวลาดังกล่าว จึงไม่ทำให้เห็นว่า พยาน โจทก์ทั้งสองเบิกความแตกต่างหรือขัดแย้งกันในเรื่องนี้ นอกจากนั้นคำฟ้องที่โจทก์นำมายื่นใหม่มีข้อความเพิ่มเติมจาก คำฟ้องเดิมว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ช. เป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลย ก็เป็นการเพิ่มเติมคำฟ้องเพื่อให้สมบูรณ์ขึ้น ดังนี้ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2930/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีแพ่ง ศาลต้องพิจารณาผลกระทบต่อคู่ความทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ผู้ขอถอน
การที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลซึ่งนอกจากพิจารณาถึงความสุจริตในการดำเนินคดีของโจทก์แล้ว ศาลจะต้องพิจารณาถึงผลได้ผลเสียของคู่ความทุกฝ่ายอีกด้วย มิใช่จะพิจารณาแต่เพียงผลได้ผลเสียของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่ความ แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์
การที่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมตกลงกันให้ผู้ร้องทั้งสองกับบุคคลภายนอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท คำพิพากษานั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้ว่าหลังจากนั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าสัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกคดีและศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องว่า คำพิพากษาผูกพันคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา ซึ่งหมายความว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตามและเป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ว่าจะรับหรือไม่รับที่ดินหรือไม่ก็ได้ เท่านั้น ไม่ต้องนำไปบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสอง การที่ผู้ร้องที่ 2 มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว หรือมายื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกา โดยมีความประสงค์อย่างชัดแจ้งว่า ต้องการนำคำสั่งศาลดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในชั้นบังคับคดีว่า ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีไม่มีความผูกพันที่จะต้องลงชื่อบุคคลภายนอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวม เป็นการหลีกเลี่ยงการบังคับคดีให้ผิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไขว้เขวต่อการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ศาลเห็นสมควรไม่ออกหนังสือรับรองให้