คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
งดสืบพยาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 298 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1149/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีโดยจำเลยและการงดสืบพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40
ในระหว่างนัดสืบพยานจำเลยทั้งสาม ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ขอเลื่อนคดีมาแล้วรวม 3 ครั้งติดต่อกัน โดยนัดที่หนึ่งอ้างเหตุว่า ตัวจำเลยที่ 1ติดธุระสำคัญที่กรุงเทพฯ นัดที่สองอ้างว่า ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ติดธุระที่จังหวัดพิษณุโลก และนัดที่สามอ้างว่าทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีอาการป่วย สำหรับวันนัดที่สี่ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 แถลงขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่า ไม่สามารถติดตามพยานมาได้ทั้ง ๆ ที่ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สามนั้น ศาลชั้นต้นได้กำชับว่า นัดหน้าให้จำเลยทั้งสามเตรียมพยานมาให้พร้อม หากมีการขอเลื่อนคดีเพราะเหตุขัดข้องทางฝ่ายจำเลยอีก จะถือว่าประวิงคดีและศาลจะสั่งงดสืบพยานจำเลยเสีย ซึ่งทนายจำเลยที่ 2ก็ยอมรับเงื่อนไขตามคำสั่งของศาลดังกล่าว พฤติการณ์ของทนายจำเลยที่ 2 ส่อแสดงถึงความไม่เอาใจใส่คดีของตนที่ทำหน้าที่อยู่ กับไม่นำพาต่อคำสั่งศาลที่กำชับนั้น เพราะถ้าหากสนใจคดีแล้วทนายจำเลยที่ 2 ก็ย่อมติดต่อหรือนำตัวพยานมาสืบในวันนัดได้แต่หาได้ดำเนินการเช่นนั้นไม่ กลับจะขอเลื่อนคดีไปเรื่อย ๆ โดยไร้จุดมุ่งหมายถือว่าจำเลยที่ 2 ประวิงคดีให้ชักช้า ทั้งเหตุที่ทนายจำเลยที่ 2 อ้างขอเลื่อนคดีเป็นนัดที่สี่ดังกล่าวก็มิใช่เหตุเกิดจากความเจ็บป่วยของทนายจำเลยที่ 2 จนไม่อาจดำเนินคดีได้ จึงไม่เป็นกรณีมีความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ ดังนั้น คำสั่งของศาลขั้นต้นที่ไม่ให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยที่ 2 แล้ว
ตามมาตรา 40 ตอนท้ายแห่ง ป.วิ.พ.ซึ่งบัญญัติว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรมต้องพิจารณาการกระทำหรือการดำเนินคดีของจำเลยที่ 2 ทั้งมวลประกอบการพิจารณาด้วย มิใช่ว่าศาลต้องเลื่อนคดีไปตามเหตุซึ่งจำเลยที่ 2 จะยกขึ้นอย่างไรก็ได้ ข้ออ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1149/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีโดยจำเลยและทนายความ ศาลมีสิทธิงดสืบพยานได้
ในระหว่างนัดสืบพยานจำเลยทั้งสาม ทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ขอเลื่อนคดีมาแล้วรวม 3 ครั้งติดต่อกันนัดที่หนึ่งอ้างเหตุว่า ตัวจำเลยที่ 1 ติดธุระสำคัญที่กรุงเทพฯ นัดที่สองอ้างว่า ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2ติดธุระที่จังหวัดพิษณุโลก และนัดที่สามอ้างว่าทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 มีอาการป่วย สำหรับนัดที่สี่ทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 แถลงขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่า ไม่สามารถติดตามพยานมาได้ทั้ง ๆ ที่ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สามนั้นศาลชั้นต้นได้กำชับว่า นัดหน้าให้จำเลยทั้งสามเตรียมพยานมาให้พร้อม หากมีการขอเลื่อนคดีเพราะเหตุขัดข้องทางฝ่ายจำเลยอีก จะถือว่าประวิงคดีและศาลจะสั่งงดสืบพยานจำเลยเสีย ซึ่งทนายจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับเงื่อนไขตามคำสั่งของศาลดังกล่าว พฤติการณ์ของทนายจำเลยที่ 2 ส่อแสดงถึงความไม่เอาใจใส่คดีของตนที่ทำหน้าที่อยู่ กับไม่นำพาต่อคำสั่งศาลที่กำชับนั้น เพราะถ้าหากสนใจคดีแล้วทนายจำเลยที่ 2ก็ย่อมติดต่อหรือนำตัวพยานมาสืบในวันนัดได้แต่หาได้ดำเนินการเช่นนั้นไม่ กลับจะขอเลื่อนคดีไปเรื่อย ๆ โดยไร้จุดมุ่งหมายถือว่าจำเลยที่ 2 ประวิงคดีให้ชักช้า ทั้งเหตุที่ทนายจำเลยที่ 2อ้างขอเลื่อนคดีเป็นนัดที่สี่ดังกล่าวก็มิใช่เหตุเกิดจากความเจ็บป่วยของทนายจำเลยที่ 2 จนไม่อาจดำเนินคดีได้จึงไม่เป็นกรณีมีความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ความตามมาตรา 40 ตอนท้ายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งบัญญัติว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรมนั้น ต้องพิจารณาการกระทำหรือการดำเนินคดีของจำเลยที่ 2 ทั้งมวลประกอบการพิจารณาด้วย มิใช่ว่าศาลต้องเลื่อนคดีไปตามเหตุซึ่งจำเลยที่ 2 จะยกขึ้นอย่างไรก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6573/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนตัวทนาย & การประวิงคดี: ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตถอนตัว & งดสืบพยานจำเลยได้
การที่ทนายความจะยื่นคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการแต่งตั้งให้เป็นทนาย จะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้วเว้นแต่จะหาตัวความไม่พบ แต่ตามคำร้องที่ทนายจำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลยนั้นไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้แจ้งเรื่องการขอถอนตนให้จำเลยทราบแล้ว และมิใช่กรณีที่หาตัวจำเลยไม่พบการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการเป็นทนาย จึงชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยนำพยานมาสืบถึง 3 นัดและกำชับมิให้จำเลยเลื่อนคดีมาโดยตลอด แต่จำเลยก็มิได้ใส่ใจที่จะนำพยานมาสืบตามคำสั่งของศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่พยานจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถจะสืบให้เสร็จสิ้นได้ในนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏจากคำร้องขอถอนตนของทนายจำเลยเองว่าจำเลยทราบวันนัดแล้วแต่ก็มิได้เดินทางมาเบิกความต่อศาลชั้นต้นตามนัด ซึ่งทนายจำเลยเห็นว่า การที่จำเลยไม่มาศาล 3 นัด ติดต่อกันเป็นการจงใจไม่มาศาลมีลักษณะประวิงคดีให้ล่าช้า ทนายจำเลยจึงขอถอนตนจากการเป็นทนายดังกล่าว เป็นการยอมรับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีจริง ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า เมื่อจำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนิน กระบวนพิจารณาแทนตนก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของทนายความที่ตนแต่งตั้ง จำเลยจะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดเพราะทนายความไม่แจ้งให้ทราบไม่ได้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินรวมและการพิพากษาตามข้อตกลงของคู่ความ ศาลสามารถงดสืบพยานและพิพากษาตามที่ตกลงกันได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104ให้อำนาจแก่ศาลที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่จำเลยและโจทก์นำเข้าสู่กระบวนพิจารณานั้นเป็นการเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ดำเนิน กระบวนพิจารณาอันเป็นสาระสำคัญ โดยสั่งให้ทำแผนที่ วิวาทตามที่คู่ความนำชี้ เมื่อคู่ความแถลงรับว่าแผนที่ วิวาทถูกต้อง และแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้น ก็เป็น การเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย จึงเป็นการใช้อำนาจศาลตามกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 ซึ่งใช้บังคับอยู่ ในขณะนั้นและเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลยยังมิได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ กันเป็นส่วนสัด เมื่อโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมโดยมิได้แบ่งแยกการครอบครองกันเป็นส่วนสัด ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามส่วน โดยกำหนดวิธีการแบ่งตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 บัญญัติไว้ได้ไม่เป็นการพิพากษานอกประเด็น หรือพิพากษาเกินคำขอ โจทก์และจำเลยตกลงกันให้โจทก์ครอบครองที่ดินที่เป็น กรรมสิทธิ์รวมด้านทิศเหนือและจำเลยครอบครองด้านทิศใต้ ตามแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความรับว่าถูกต้องและจำเลยได้ปลูกบ้าน อยู่ในที่ดินพิพาททางด้านทิศใต้แล้ว หากจะให้เอาที่ดิน พิพาทประมูลขายทอดตลาดแล้วเอาเงินแบ่งให้โจทก์ จำเลยตามส่วนตามบทบัญญัติของกฎหมาย จำเลยอาจ ได้รับความเดือดร้อน ดังนี้ศาลให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทตามแนว แผนที่วิวาทดังกล่าว โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์ในฐานะเจ้าของรวมจำเลยให้การกล่าวแก้ว่าวิธีการแบ่งทรัพย์ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องนั้นไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้องมิได้ขอ บังคับให้ที่ดินส่วนใดเป็นของจำเลยเกินกว่าสิทธิของจำเลยเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และหน้าที่การนำสืบมูลหนี้
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามป.วิ.พ.มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 227 จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ซึ่งถือได้ว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีมูลหนี้ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ต้องนำสืบถึงมูลหนี้ตามสัญญากู้เพื่อให้จำเลยรับผิด เมื่อปัญหาว่าหนี้ที่ ม.นำที่ดินโจทก์ไปจำนองธนาคารได้มีการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่ และ ม.นำโฉนดที่ดินมาคืนโจทก์แล้วหรือไม่ ยังไม่เป็นที่ยุติ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 243 (2) การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าวจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2)
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟัง ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษาให้จำเลย รับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นใน ปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 227 จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ซึ่งถือได้ว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีมูลหนี้ โจทก์จึงยังมี หน้าที่ต้องนำสืบถึงมูลหนี้ตามสัญญากู้เพื่อให้จำเลยรับผิด เมื่อปัญหาว่าหนี้ที่ ม.นำที่ดินโจทก์ไปจำนองธนาคารได้มีการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่ และ ม. นำโฉนดที่ดินมาคืนโจทก์แล้วหรือไม่ ยังไม่เป็นที่ยุติ การที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้ว พิพากษาคดีไปโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) การที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าวจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5090/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีโดยอ้างเหตุป่วย ศาลมีอำนาจงดสืบพยานและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้
นับตั้งแต่วันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกจนถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ ทั้งที่พยานจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้น และมีการส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ศาลอื่นมาก่อน และศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสเต็มที่แก่จำเลยตลอดมา จนครั้งสุดท้ายทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยกะทันหัน ปวดศีรษะมีอาการมึนงง และแน่นหน้าอกอันเนื่องมาจากรับประทานทุเรียนมาก แม้ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยเจ็บก็ตาม แต่เมื่อศาลเชื่อได้ว่าอาการของผู้ที่อ้างว่าป่วยนั้นไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ ซึ่งให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของบุคคลที่อ้างว่าป่วยนั้นแล้วแต่กรณี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่ง ป.วิ.พ.เมื่อตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ที่จำเลยโต้แย้งว่า การเจ็บป่วยเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่อาจก้าวล่วงเสียได้นั้น จำเลยก็หาได้คัดค้านแสดงให้เห็นว่าอาการเจ็บป่วยของทนายจำเลยรุนแรงจนไม่สามารถมาศาลได้แต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วส่อแสดงชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลย จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5090/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยที่ไม่ร้ายแรง ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตเลื่อนคดีและงดสืบพยานได้
นับตั้งแต่วันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกจนถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ ทั้งที่พยานจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้น และมีการส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ศาลอื่นมาก่อน และศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสเต็มที่แก่จำเลยตลอดมา จนครั้งสุดท้ายทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยกะทันหัน ปวดศีรษะมีอาการมึนงง และแน่นหน้าอกอันเนื่องมาจากรับประทานทุเรียนมาก แม้ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยเจ็บก็ตามแต่เมื่อศาลเชื่อได้ว่าอาการของผู้ที่อ้างว่าป่วยนั้นไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ ซึ่งให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของ บุคคลที่อ้างว่าป่วยนั้นแล้วแต่กรณี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเมื่อตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆที่จำเลยโต้แย้งว่า การเจ็บป่วยเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่อาจก้าวล่วงเสียได้นั้น จำเลยก็หาได้คัดค้านแสดงให้เห็นว่าอาการเจ็บป่วยของทนายจำเลยรุนแรงจนไม่สามารถมาศาลได้แต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วส่อแสดงชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลย จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532-4617/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานต้องโต้แย้งทันที และการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างต้องแจ้งแก้ไขอย่างถูกต้อง
วันนัดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ คู่ความแถลงยอมรับข้อเท็จจริงกันศาลแรงงานเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษา คำสั่งศาลแรงงานที่ให้งดสืบพยานดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หากจำเลยเห็นว่าการงดสืบพยานดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31,54 ปรากฏว่านับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวจนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมีเวลาพอที่จะโต้แย้งได้ แต่จำเลยก็หาได้โต้แย้งไม่อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตาม บทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
เมื่อจำเลยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เรื่องการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้าง แม้ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลใช้บังคับจำเลยจะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวเพียงแต่จำเลยประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่า จำเลยจะจ่ายเงินโบนัสเพียงร้อยละ 50 ของอัตราการจ่ายในปีที่ผ่านมาโดยยึดหลักเกณฑ์เดิม ประกาศดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการที่จำเลยขอความร่วมมือจากลูกจ้างเท่านั้นมิใช่เป็นการแจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจึงย่อมไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องการจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3461/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเรียกร้องเด็กคืนจากบุคคลที่มิใช่บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย และการงดสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงชัดเจน
คำว่า "บุคคลอื่น" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1567(4) หมายถึง บุคคลอื่นนอกจากผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรซึ่งได้แก่บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตร ดังนั้นเมื่อจำเลยกับโจทก์มิใช่สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรผู้เยาว์ ทั้งมิได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของบุตรผู้เยาว์ตามกฎหมาย และไม่มีสิทธิตามมาตรา 1567(1) ถึง (14) การที่จำเลยกักบุตรผู้เยาว์ไว้จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกบุตรผู้เยาว์คืนจากจำเลยได้ คู่ความมีหน้าที่ต้องนำพยานเข้าสืบในชั้นพิจารณาเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องหรือคำให้การของตนแสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ตนกล่าวอ้าง แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างในคำฟ้องและคำให้การเห็น ได้ชัดแจ้งแล้ว คู่ความก็ไม่จำต้องนำพยานเข้าสืบอีก เพราะแม้จะสืบพยานศาลก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องและคำให้การได้อีก ในกรณีเช่นนี้ศาลมีอำนาจสั่งให้ งดสืบพยานได้ คำร้องขอเพิ่มคำฟ้องฎีกาซึ่งเพิ่มประเด็นจากคำฟ้องฎีกาฉบับเดิม ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ที่จะต้องยื่นภายในกำหนดเวลา 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ อันเป็นกำหนดระยะเวลาเดียวกันการยื่นคำฟ้องฎีกา หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วจะขอเพิ่มเติมคำฟ้องฎีกาไม่ได้
of 30