พบผลลัพธ์ทั้งหมด 206 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3548/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการพิจารณาคดีแพ่งตามคำพิพากษาคดีอาญา: ศาลแพ่งต้องยึดข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญา แม้ทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสน
เมื่อคดีอาญาฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46แม้คดีส่วนแพ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา40ก็ตามแต่เมื่อการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งเป็นข้อกฎหมายจึงต้องฟังว่าจำเลยที่1มิได้ทำละเมิดอันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัด ผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย และดอกเบี้ยจากสัญญาประกันภัย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า จะจัดซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ แต่จำเลยซ่อมไม่เสร็จ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการซ่อม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ทำการซ่อมรถยนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยใช้การได้ดีเหมือนเดิม เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วน ไม่ได้ผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เฉพาะว่า จำเลยได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่จัดซ่อมรถคันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เท่านั้น มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ ประเด็นข้อพิพาทจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ฟ้องเรียกโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8434/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดทุนทรัพย์ฎีกาในคดีค่าปรับจากสัญญาประกันตัว: แบ่งแยกรับผิดเป็นส่วนสัด
ทุนทรัพย์ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระค่าปรับตามสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา 2 คน ต้องถือตามจำนวนเงินในสัญญาประกันแต่ละฉบับเพราะค่าปรับตามสัญญาทั้ง 2 ฉบับเป็นคนละราย แบ่งแยกรับผิดเป็นส่วนสัด เมื่อทุนทรัพย์แต่ละรายไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7661/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีมีทุนทรัพย์น้อยกว่า 50,000 บาท และผลของการฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว
คดีฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน เป็นคดีมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ในการคำนวณทุนทรัพย์ค่าขึ้นศาลศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงไว้ 70,000 บาท และมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสอง และผู้ร้องสอดกับทายาทอื่นเพียงจำนวน 10 ใน 14 ส่วน แล้วให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนให้โจทก์ทั้งสองคนละ 10 ใน 14 ส่วนและให้ผู้ร้องสอด 7 ใน 14 ส่วน จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ทุนทรัพย์หรือราคาที่ดินที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์คือราคาที่ดินส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดชนะคดีคำนวณเป็นเงินแล้วไม่เกิน 50,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว เมื่อฎีกาของจำเลยที่ 2เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง แม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ แต่คำรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วย่อมไม่เป็นผลศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7549/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และคดีขอปลดเปลื้องทุกข์
โจทก์กล่าวในฟ้องถึงการกระทำของจำเลยแยกจากกันเป็นสองกรณี คือ จำเลยเป็นตัวการจ้างวานบุคคลอื่น ทำการขุดร่องน้ำในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวน ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของบุคคลซึ่งจำเลยว่าจ้างทำให้โดนท่อน้ำประปาของโจทก์ ซึ่งฝังไว้บริเวณทางเข้าที่ดินโจทก์แตกหักเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นเงิน 100 บาท จำเลยในฐานะตัวการและผู้ว่าจ้างต้องรับผิดชอบต่อ ความเสียหายดังกล่าวกรณีหนึ่ง และหลังจากที่จำเลยจ้างบุคคลอื่นขุดร่องน้ำในที่ดินดังกล่าวซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่ทำสวนและเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์แล้ว จำเลยได้เอาเครื่องสูบน้ำไปตั้งสูบน้ำขึ้นจากคลองชลประทานสัมปทวน เข้าไปในร่องน้ำดังกล่าว เป็นเหตุให้น้ำไหลเอ่อท่วมที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถปลูกพืชทำสวนในที่ดินนั้น ตลอดจนบริเวณพื้นที่รัศมีคลองชลประทานสัมปทวนได้อีกกรณีหนึ่ง ดังนี้ ในกรณีแรกโจทก์ขอให้บังคับจำเลยใช้ ค่าเสียหายในการซ่อมแซมท่อน้ำประปาเป็นเงิน 100 บาท เมื่อความเสียหายส่วนนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ส่วนกรณีหลัง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำที่ขุดและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำ ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคสอง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำสวนในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนที่จำเลยขุดร่องน้ำและที่ดิน ของโจทก์เป็นเงิน 1,500 บาท และค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ 1,000 บาท มาด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบและเมื่อคดีในส่วนนี้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ส่วนกรณีหลัง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำที่ขุดและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำ ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคสอง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำสวนในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนที่จำเลยขุดร่องน้ำและที่ดิน ของโจทก์เป็นเงิน 1,500 บาท และค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ 1,000 บาท มาด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบและเมื่อคดีในส่วนนี้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7512/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงค่าระวางขนส่ง: ข้อจำกัดและขอบเขตการบังคับใช้
การชำระค่าระวางขนส่งระหว่างโจทก์จำเลยนี้ เมื่อสินค้าไปถึงท่าเรือของโจทก์แล้ว จำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าระวางขนส่งได้ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากจำเลยขนสินค้าไปถึงท่าเรือของโจทก์และมีการขนถ่ายสินค้าลงจากเรือจำเลยไปแล้วบางส่วน จำเลยได้มีหนังสือให้โจทก์ชำระค่าขนส่งและค่าเรือเสียเวลาแก่จำเลยแล้วหลายครั้ง แต่โจทก์ไม่ยอมชำระจำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงเหล็กพิพาทของโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 630
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแต่เพียงว่า จำเลยมีสิทธิที่จะยึดหน่วงไว้เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดว่าเกินความจำเป็นอย่างไรและศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท ฎีกาของโจทก์ที่ว่าเหล็กพิพาทที่จำเลยยึดหน่วงไว้มีราคาสูงเกินกว่าตามที่จำเป็นจะพึงใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.พ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยขายทอดตลาดเหล็กพิพาทได้เงินมาจำนวน 161,000 บาทจำเลยได้หักเป็นค่าระวางพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งรวมทั้งค่าเสียหายอื่น ๆตามฟ้องแย้งไปรวมเป็นเงิน 118,965 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยนำมาวางศาลจำนวน 42,035 บาท โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยอีกนั้น ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี ซึ่งไม่เป็นเหตุทำให้ศาลฎีกาต้องเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแต่ประการใด
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแต่เพียงว่า จำเลยมีสิทธิที่จะยึดหน่วงไว้เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดว่าเกินความจำเป็นอย่างไรและศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท ฎีกาของโจทก์ที่ว่าเหล็กพิพาทที่จำเลยยึดหน่วงไว้มีราคาสูงเกินกว่าตามที่จำเป็นจะพึงใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.พ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยขายทอดตลาดเหล็กพิพาทได้เงินมาจำนวน 161,000 บาทจำเลยได้หักเป็นค่าระวางพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งรวมทั้งค่าเสียหายอื่น ๆตามฟ้องแย้งไปรวมเป็นเงิน 118,965 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยนำมาวางศาลจำนวน 42,035 บาท โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยอีกนั้น ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี ซึ่งไม่เป็นเหตุทำให้ศาลฎีกาต้องเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7141/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับคดีตามคำพิพากษา: การจำกัดจำนวนดอกเบี้ยที่ศาลพิพากษาให้ชำระ
เมื่อคำพิพากษาได้กำหนดโดยชัดแจ้งแล้วว่าให้จำเลยและพ.ร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่31มกราคม2533จนถึงวันที่1สิงหาคม2533ให้แก่ผู้ร้องแต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนวันที่1สิงหาคม2533คำนวณไม่เกินจำนวน216,260.53บาทซึ่งย่อมหมายความว่าเฉพาะดอกเบี้ยก่อนวันที่1สิงหาคม2533ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ระหว่างวันที่31มกราคม2533จนถึงวันที่1สิงหาคม2533เท่านั้นและการคิดคำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดห้ามมิให้เกินจำนวน216,260.53บาทมิได้หมายความรวมไปถึงดอกเบี้ยส่วนอื่นก่อนวันที่1สิงหาคม2533ซึ่งเป็นส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5760/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้งและข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องอย่างหนึ่งแต่กลับนำสืบพยานหลักฐานไปอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากคำฟ้อง แต่ฎีกาของจำเลยทั้งสองไม่มีรายละเอียดว่าโจทก์ฟ้องอย่างไร แล้วไปนำสืบพยานหลักฐานอย่างไรอันนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่อาจเข้าใจได้ว่าพยานหลักฐานอันใดนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ถือว่าเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การแก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หาทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงยินยอมให้แก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินและที่ดินที่จำเลยที่ 1 โอนแก่จำเลยที่ 2 เป็นที่ดินคนละแปลงกัน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 วรรคหนึ่ง
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การแก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หาทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงยินยอมให้แก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินและที่ดินที่จำเลยที่ 1 โอนแก่จำเลยที่ 2 เป็นที่ดินคนละแปลงกัน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นค่าเสียหาย: ศาลจำกัดการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน 52,531 บาท ค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน 40,000บาท ค่าพาหนะเดินทางจำนวน 10,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน 15,000บาท และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน 200,000 บาทรวมเป็นเงิน 317,531 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน 4,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้ และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน40,000 บาท ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน 181,000 บาทและเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 194,575 บาท ไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่ราคาทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าสองแสนบาท และการโต้เถียงข้อเท็จจริง
คดีที่โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้ง จะอุทธรณ์ฎีกาได้เพียงใดหรือไม่ต้องแยกพิจารณาคนละส่วน เมื่อฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งต่างมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่ศาลพิพากษาว่าเป็นของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1489/2528 ของศาลชั้นต้น พยานหลักฐานของจำเลยในคดีดังกล่าวรับฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์มีพยานเอกสารและพยานบุคคลหลายปากยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์นั้นเป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย