พบผลลัพธ์ทั้งหมด 249 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7111/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำคุกและการรอการลงโทษ: กรณีโทษจำคุกเกินเกณฑ์
ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษที่ลงหลังจากลดโทษแล้ว จำคุก 2 ปี 3 เดือนกรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพลาดในการคำนวณโทษจำคุกและขอบเขตอำนาจศาลในการแก้ไขโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลย เมื่อรวมโทษจำเลยแล้วคงจำคุกจำเลย 3 เดือน 15 วัน ซึ่งไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็น 6 เดือน15 วัน และในความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ตาม ป.อ.มาตรา 376 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน การที่ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 เดือนจึงเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ 10 วัน และเมื่อรวมโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วยังน้อยกว่าโทษที่คำนวณโดยถูกต้อง แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษสำหรับจำเลยให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกที่ไม่ถูกต้องตามอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด และข้อจำกัดการแก้ไขโทษเพิ่มเติมโดยศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลย เมื่อรวมโทษจำเลยแล้วคงจำคุกจำเลย 3 เดือน 15 วัน ซึ่งไม่ถูกต้องที่ถูกต้องเป็น 6 เดือน 15 วัน และในความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน การที่ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 เดือน จึงเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ 10 วัน และเมื่อรวมโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วยังน้อยกว่าโทษที่คำนวณโดยถูกต้องแต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษสำหรับจำเลยให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยครอบครองยาเสพติดจำนวนมาก เตรียมแบ่งขาย ศาลยืนโทษจำคุก
พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 กับพวกมาก่อนไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศ.และสิบตำรวจตรีพ.ยังตรงกันว่า เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุปรากฏว่าประตูหน้าต่างบ้านนั้นปิดทั้งหมด ซึ่งหากในวันนั้นมีการ เปียแชร์ดังที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ ก็ไม่น่าจะต้องมีการปิด ประตูหน้าต่างกันแต่อย่างใด ทั้งเมื่อร้อยตำรวจเอกศ. เรียกให้เปิดประตูหน้าบ้าน จำเลยที่ 3 ก็วิ่งหนีออกไป ทางหลังบ้าน โดยในมือกำ ถุงพลาสติกบรรจุเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด และพวกของจำเลยที่ 3 อีก 2 คน ต่างก็มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุ อยู่ในถุงพลาสติกคนละ 1 ใบ โดยเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกครอบครองไว้นั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับเมทแอมเฟตามีน จำนวน 300 เม็ด ที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดง และหลอด พลาสติกสีเหลืองที่วางอยู่บริเวณพื้นกลางบ้านที่เกิดเหตุ น่าเชื่อว่าเมทแอมเฟตามีนที่จับได้ที่จำเลยที่ 3 กับพวกนั้น เป็นเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกแต่ละคนแบ่งแยก ไปจากเมทแอมเฟตามีนที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดงและใน หลอดพลาสติกสีเหลือง การที่จำเลยที่ 3 กับพวกแบ่งแยกใส่ ถุงพลาสติกถุงละ 5 เม็ด หรือ 10 เม็ด ก็เพื่อความสะดวก ในการจำหน่าย จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันมี เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอ: โจทก์ต้องขอให้นับโทษจำคุกในคำฟ้อง มิเช่นนั้น ศาลพิพากษาเกินเลย
คดีทั้งสามสำนวนนี้โจทก์ได้ขอรวมการพิจารณาพิพากษา เข้าด้วยกัน และจำเลยไม่ได้คัดค้านทั้งสามสำนวน ดังนั้น คำขอท้ายฟ้องคดีทั้งสามสำนวนนี้จึงถือเป็นข้อเท็จจริงและ เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เมื่อโจทก์มีความประสงค์มาแต่ต้น โดยต้องการให้ศาลชั้นต้นนับโทษจำคุกจำเลยต่อกับคดีอื่น โจทก์ต้องระบุหรือกล่าวไว้ในคำฟ้องหรือขอแก้ไขเพิ่มเติม ฟ้องในภายหลังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 เสียก่อนที่จะมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เมื่อคำฟ้องของโจทก์ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวและไม่มีคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลย ต่อกันไว้การที่โจทก์ขอรวมพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสามสำนวน ด้วยกันก็เพื่อประโยชน์ในการนำสืบพยานหลักฐานชุดเดียวกัน ของคู่ความเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติม ฟ้องทำนองขอให้นับโทษในคดีต่อกันดังที่โจทก์แก้ฎีกา ด้วยเหตุนี้ การที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดรวมทั้งสิ้น 11 กระทง และให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อกันจึงเป็นการพิพากษา เกินคำขอของโจทก์ที่มิได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7244/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภัยอันตรายจากขบวนการพาคนต่างด้าวเข้าประเทศ: ศาลยืนจำคุก ไม่รอลงโทษ
การที่จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันชักชวนและนำพาบุคคลต่างด้าว 22 คน ให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วร่วมกันจัดหาพาหนะให้บุคคลต่างด้าวเหล่านั้นโดยสารเดินทางไปยังกรุงเทพมหานคร อันเป็นการอุปการะช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร รวมถึงการร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นเพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการถูกจับกุม ล้วนเป็นการกระทำความผิดที่เป็นภัยอันตรายต่อประเทศชาติทั้งในด้านความมั่นคงและด้านสังคมอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นช่องทางให้คนต่างด้าวเข้ามาปลอมตัวเป็นคนสัญชาติไทยและเข้ามาก่ออาชญากรรมทั้งที่ร้ายแรงและไม่ร้ายแรงอยู่เนือง ๆ แล้ว ยังเปิดโอกาสให้คนต่างด้าวเข้ามาแย่งอาชีพของคนไทย สร้างความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจให้แก่คนไทยโดยใช่เหตุ ยิ่งกว่านั้น คนต่างด้าวบางรายยังนำโรคติดต่อที่ยากต่อการบำบัดรักษา สร้างปัญหาทางด้านสาธารณสุขให้แก่คนในชาติอีกด้วย ลักษณะการกระทำความผิดของ จำเลยทั้งห้ากับพวกถือเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6178/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกจากดุลพินิจของศาลชั้นต้น และการพิจารณาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76, 78
จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกจำเลยที่ได้อ่านคำพิพากษาในครั้งแรกให้จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี มาเป็นจำคุกคนละ 6 ปีเพราะเป็นการเพิ่มโทษจำเลยโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ทำได้ เป็นการแก้ไขคำพิพากษาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นกระบวนพิจารณาอันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย เมื่อปรากฏตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ดังกล่าวให้ ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ต้องห้ามตามกฎหมายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(6)ประกอบมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) และมาตรา 247 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างรวม 3 กรรมต่างกันโดยระบุในคำฟ้องข้อ 1 ก. ข้อ 1 ข. และข้อ 1 ค.สำหรับความผิดแต่ละกรรม ดังนี้คือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2539เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็งจำนวน 24 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 7,680 บาทของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต วันที่ 8 สิงหาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็งจำนวน 10 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 3,250 บาท ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้าง ไปโดยทุจริต และวันที่ 14 สิงหาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 5 ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็งจำนวน 12 กิโลกรัม ปลาหมึกหอมจำนวน 25 กิโลกรัม และเนื้ออกไก่จำนวน 6 กิโลกรัม คิดเป็นเงินรวม 7,882 บาทของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต จำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้เท่ากับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 รับว่าได้กระทำความผิดทั้งสามกรรมดังกล่าวจริง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ทั้ง 3 กรรมเป็นกระทงความผิดไปได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยฎีกา และศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ทั้งสามกรรมตามฟ้อง ทรัพย์ที่จำเลยลักไปมีราคา เป็นเงิน 7,680 บาท 3,250 บาทและ 7,882 บาทซึ่งล่างทั้งสองพิพากษายืนโดยใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย เท่ากันทุกกระทงความผิดอันเป็นโทษที่หนักเกินไปและไม่เหมาะสมกับสภาพความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิดในแต่ละกรรม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลย ให้เหมาะสมแก่สภาพความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิดแต่ละกระทงตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีเช็ค การยอมความ และการแก้ไขโทษจำคุกเป็นปรับ
จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ ส. ต่อมาส. นำเช็คดังกล่าวมาชำระหนี้ค่ารถยนต์ที่ซื้อจากโจทก์ร่วมเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดโจทก์ร่วมนำไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ร่วมจึงไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ภายหลังที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ ส. ได้นำรถยนต์ที่ซื้อขายไปคืนให้แก่โจทก์ร่วม ดังนี้การคืนรถยนต์ดังกล่าวมิใช่การชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแทนจำเลยหรือเป็นการยอมความกันในคดีตามกฎหมาย ไม่ทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับ ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ในคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็ย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6822/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษกักขังต่อกันเมื่อศาลลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก และประเด็นการอุทธรณ์เพื่อให้นับโทษต่อ
เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย แต่โทษจำคุกจำเลยไม่เกินสามเดือนจึงให้ลงโทษกักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 และกำหนดวันเวลากักขังคงเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา ดังนั้นเมื่อโทษกักขังเป็นเพียงโทษที่ลงแทนโทษจำคุก ศาลจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 ให้นับโทษกักขังติดต่อกันได้
แม้โจทก์จะขอให้นับโทษต่อในคดีซึ่งมิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่จะนับโทษต่อกันนั้นต้องพิจารณาจากคดีที่พิพากษาในภายหลังว่าจะนับโทษต่อได้หรือไม่ ดังนั้นคดีที่ต้องอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องการนับโทษต่อ จึงต้องเป็นคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีที่พิพากษาในภายหลัง หาใช่อุทธรณ์ในคดีก่อนหรืออุทธรณ์พร้อมกันทั้งสองคดีไม่
แม้โจทก์จะขอให้นับโทษต่อในคดีซึ่งมิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่จะนับโทษต่อกันนั้นต้องพิจารณาจากคดีที่พิพากษาในภายหลังว่าจะนับโทษต่อได้หรือไม่ ดังนั้นคดีที่ต้องอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องการนับโทษต่อ จึงต้องเป็นคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีที่พิพากษาในภายหลัง หาใช่อุทธรณ์ในคดีก่อนหรืออุทธรณ์พร้อมกันทั้งสองคดีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4840/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณระยะเวลาจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 21(2) ที่กำหนดเป็นเดือนหรือปี
ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 28 เดือน เมื่อ ป.อ.มาตรา 21วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือนให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการ ฉะนั้น ในกรณีกำหนดโทษจำคุกเป็นเดือนในส่วนที่เมื่อรวมกันถึง 12 เดือน ก็จะคิดคำนวณวันที่จำคุกเพียง360 วัน แต่ถ้าถือว่าการลงโทษจำคุก 12 เดือน เป็นกำหนดโทษจำคุก 1 ปี แล้วจะคิดคำนวณวันที่จำคุกได้ถึง 365 วัน หรือ 366 วัน ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยดังนี้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกจำเลยเป็นเดือนจึงชอบแล้ว