คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว และราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาท
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของท.และจำเลยทั้งสองเมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ฎีกาว่าคำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังดีกว่าพยานจำเลย พยานจำเลยไม่น่าเชื่อถือและรับฟัง จึงเป็นฎีกาที่โจทก์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย ชิงทรัพย์: การชักมีดข่มขู่ไม่ถึงขั้นต่อสู้ทำร้าย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์โดยวินิจฉัยว่า ขณะไต่ลงมาตามท่อน้ำทิ้งจำเลยได้ชักมีดออกมาชูขึ้นในลักษณะข่มขู่ ป. เพื่อนผู้เสียหายซึ่งตามลงมาร้องบอกให้จำเลยมอบตัว จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายไม่ได้เบิกความให้ชัดแจ้งว่าจำเลยต่อสู้กับผู้เสียหายอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหาย ฎีกาจำเลยดังกล่าวไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 141/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฎีกาไม่ชัดแจ้งและไม่ได้ยกประเด็นในศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยฟังว่าจำเลยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีไม่สมควรให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบแทนที่จำเลยจะฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร กลับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยและสัญญาเช่าอาคารพิพาทเป็นสัญญาเช่าพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งเพราะมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และเป็นฎีกาข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุข้อฎีกาเกินกรอบการอุทธรณ์ และปัญหาการบังคับคดี
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ.ร้อยตำรวจโทพ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้งและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษาแต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2237/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยอุทธรณ์ฎีกาไม่ชัดเจน และไม่ได้ยกข้อเท็จจริงใหม่ในศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด จำเลยที่ 1ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ได้ประเมินราคาทรัพย์พิพาทไม่เป็นธรรม ฎีกาจำเลยที่ 1 มิได้โต้เถียงว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยข้อกฎหมายอย่างไร จึงไม่ใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1ยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1110/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุอ้างเหตุเดิมจากอุทธรณ์ ขาดการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยคงอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่อุทธรณ์โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบ หรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร แต่ประการใดเลย จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 249วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อเท็จจริงเดิมที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และประเด็นค่าเสียหายที่เป็นข้อเท็จจริง
ข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นฎีกาว่า ก่อนจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้จำเลยเคยฟ้องโจทก์มาก่อน ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนได้พิพากษาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิได้เช่าอาคารพิพาทจากจำเลยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องฟังยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ในคดีนี้กลับวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เช่าอาคารพิพาทจากจำเลย การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่คณะกรรมการปรับปรุงอาคารพิพาทของโจทก์ผู้ให้เช่ามีมติให้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยผู้เช่า นางย. ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองอาคารของโจทก์ผู้ให้เช่า ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าแก่จำเลยผู้เช่าไปตามมติดังกล่าวนั้น แม้ในมตินั้นจะไม่ได้ระบุให้นางย.เป็นผู้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยก็ถือได้ว่านางย.บอกเลิกการเช่าแทนโจทก์ผู้ให้เช่าแล้วโดยชอบโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อำนวยการของโจทก์ผู้ให้เช่าต้องมอบอำนาจอีกการเช่าอาคารระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยผู้เช่าระงับลงแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นฟ้องอาจให้ค่าเช่าได้เพียงเดือนละ 1,000 บาท ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทดังนี้ การที่จำเลยฎีกาว่า ค่าเสียหายของโจทก์ควรต่ำกว่าเดือนละ 1,000 บาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละมรดก, อายุความ, สิทธิเรียกร้องทรัพย์มรดก: ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่ชัดแจ้ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ได้สละมรดกโดยแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 สละมรดก และวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามต่างได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ดินร่วมกัน จำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดก ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 แบ่งทรัพย์มรดกได้ แม้จะล่วงเลยอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสี่ประกอบมาตรา 1748 วรรคแรก แล้วก็ตามแต่โจทก์กลับฎีกากล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยกำหนดอายุความ 10 ปีแล้วแม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้สละมรดกตามกฎหมาย จำเลยที่ 2และที่ 3 ก็ไม่อาจเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกได้ ฎีกาของโจทก์เช่นนี้ไม่ได้กล่าวโต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงนอกเหนือคำให้การรับสารภาพ และยืนยันความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้ากับผลิตอาหารปลอมเป็นคนละกระทง
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาได้นั้น ก็จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงจะวินิจฉัยได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันผลิตอาหารปลอมจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 กระทำผิดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3จะโต้เถียงข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ฎีกาว่า อาหารที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันผลิตไม่ใช่อาหารปลอม เพราะได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นผู้ประกอบกิจการผลิตอาหารแล้ว จึงไม่มีความผิดนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากคำให้การรับสารภาพและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้ากับความผิดฐานผลิตอาหารปลอมลักษณะของการกระทำผิดแยกจากกัน เมื่อมีการปลอมเครื่องหมายการค้าและนำไปใช้ก็เป็นความผิดสำเร็จกระทงหนึ่งแล้ว เมื่อนำอาหารที่มีส่วนประกอบซึ่งไม่ใช่สูตรของอาหารที่แท้จริงมาปิดเครื่องหมายการค้าที่ทำปลอมขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคหรือประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นอาหารที่แท้จริง ก็เป็นความผิดฐานผลิตอาหารปลอมอีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2804/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งการริบของกลางในคดีสัตว์ป่าคุ้มครอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยและริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ขอไม่ให้ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่จำเลยฎีกาว่าไก่ฟ้าและนกหว้า ของกลางเดิมจำเลยมีไว้ในครอบครองประเภทละ 2 ตัวซึ่งชอบด้วยกฎหมายต่อมาสัตว์ดังกล่าวได้ขยายพันธุ์จนมีจำนวนตามฟ้องลูกของสัตว์ป่าเหล่านั้นหาใช่สัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย จึงมิใช่ทรัพย์ที่จะริบได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพว่ามีสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
of 13