พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ หากไม่มีระบุเหตุร้ายแรง ต้องตักเตือนก่อน
ลูกจ้างมาทำงานสายและประพฤติไม่สมควรต่อผู้บังคับบัญชาแต่ไม่มีในข้อบังคับว่าเป็นกรณีฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรงที่จะให้ออกโดยไม่ต้องตักเตือนก่อน นายจ้างต้องใช้ค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2265/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานขัดคำสั่งและขาดงาน แม้ขาดงานเพียงวันเดียว ก็ชอบด้วยกฎหมาย หากเคยตักเตือนแล้ว
ประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ฯ อันเป็นข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัย ซึ่งจำเลยผู้เป็นนายจ้างต้องจัดให้มีการประกาศกระทรางมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน กำหนดไว้ว่า กรณีลูกจ้างขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่ไปปฏิบัติงานและขาดงานมีโทษให้ไล่ออกจากงาน ข้อนี้มิได้ระบุว่าต้องขาดงานกี่วันจึงจะมีความผิด ดังนั้น หากโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่ไปปฏิบัติงานและขาดงานแม้เพียง 1 วัน ก็มีความผิดและถูกลงโทษให้ออกจากงานได้ กรณีนี้เป็นเรื่องที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่ลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานฯ ตามข้อ 47 (3) แห่งประกาศดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามข้อ 47 (4) ฉะนั้น ประมวลการลงโทษฯ จึงหาได้ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่กำหนดว่าลูกจ้างต้องขาดงานติดต่อกัน 3 วันไม่
โจทก์เคยถูกลงโทษภาคทัณฑ์และตัดเงินเดือนแล้ว 3 ครั้ง ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบ ซึ่งตามคำสั่งลงโทษมีข้อความอันถือได้ว่าได้มาตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เมื่อโจทก์มากระทำผิดฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบอีก และได้เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ กรณีหาใช่วินิจฉัยนอกประเด็นหรือนำความผิดที่ลงโทษเสร็จสิ้นไปแล้วมาลงโทษอีกไม่
โจทก์เคยถูกลงโทษภาคทัณฑ์และตัดเงินเดือนแล้ว 3 ครั้ง ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบ ซึ่งตามคำสั่งลงโทษมีข้อความอันถือได้ว่าได้มาตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เมื่อโจทก์มากระทำผิดฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบอีก และได้เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ กรณีหาใช่วินิจฉัยนอกประเด็นหรือนำความผิดที่ลงโทษเสร็จสิ้นไปแล้วมาลงโทษอีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2265/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานขัดคำสั่งและขาดงาน แม้ขาดงานเพียง 1 วัน ก็มีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากเคยตักเตือนแล้ว
ประมวลการลงโทษผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยฯ อันเป็นข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัยซึ่งจำเลยผู้เป็นนายจ้างต้องจัดให้มีตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน กำหนดไว้ว่า กรณีลูกจ้างขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่ไปปฏิบัติงานและขาดงานมีโทษให้ไล่ออกจากงาน ข้อนี้มิได้ระบุว่าต้องขาดงานกี่วันจึงจะมีความผิด ดังนั้น หากโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่ไปปฏิบัติงานและขาดงานแม้เพียง1 วัน ก็มีความผิดและถูกลงโทษให้ออกจากงานได้กรณีนี้เป็นเรื่องที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่ลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานฯ ตามข้อ 47(3) แห่งประกาศดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามข้อ 47(4)ฉะนั้น ประมวลการลงโทษฯ จึงหาได้ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่กำหนดว่าลูกจ้างต้องขาดงานติดต่อกัน 3 วันไม่
โจทก์เคยถูกลงโทษภาคทัณฑ์และตัดเงินเดือนมาแล้ว 3 ครั้งฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบ ซึ่งตามคำสั่งลงโทษมีข้อความอันถือได้ว่าได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วเมื่อโจทก์มากระทำผิดฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบอีก และได้เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ กรณีหาใช่วินิจฉัยนอกประเด็นหรือนำความผิดที่ลงโทษเสร็จสิ้นไปแล้วมาลงโทษอีกไม่
โจทก์เคยถูกลงโทษภาคทัณฑ์และตัดเงินเดือนมาแล้ว 3 ครั้งฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบ ซึ่งตามคำสั่งลงโทษมีข้อความอันถือได้ว่าได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วเมื่อโจทก์มากระทำผิดฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบอีก และได้เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ กรณีหาใช่วินิจฉัยนอกประเด็นหรือนำความผิดที่ลงโทษเสร็จสิ้นไปแล้วมาลงโทษอีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดอำนาจฟ้องเนื่องจากกฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดเดิม และจำเลยปฏิบัติตามคำตักเตือน
จำเลยจอดรถกีดขวางการจราจร เป็นผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 64 ต่อมามีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 59 ยกเลิกและใช้ความใหม่แทน ให้อำนาจเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามคำว่ากล่าวตักเตือนของเจ้าพนักงานจราจรแล้วเห็นได้ว่ากฎหมายไม่ประสงค์เอาโทษแก่จำเลย การกระทำของจำเลยซึ่งเดิมเป็นความผิดก็ไม่เป็นความผิดอีกต่อไป จำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2 อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งฟ้องภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับ ย่อมหมดสิ้นไปในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน: จำเลยมีสิทธิพิสูจน์ความจริงเพื่อยกเว้นความผิดได้ หากการกระทำเป็นการตักเตือนเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ข้อความที่จำเลยโฆษณาว่า "จ่าสิบตำรวจอารมย์ ประทุมศรี หัวหน้าตำรวจจราจรและพลตำรวจพิชัย จิตรหาญ ฟังทางนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของท่านจงอย่าเห็นแก่เล็กแก่น้อย ฯลฯ" นั้นไม่ใช่เป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว เพราะผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการจราจร การที่ผู้เสียหายเรียกหรือรับสินบนจากผู้กระทำผิดจราจรนั้น ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบถ้าเป็นความจริงดังที่จำเลยโฆษณา ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำเลยจึงขอพิสูจน์ความจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งตรวจข่าวหนังสือพิมพ์: การตักเตือนและขอบเขตการไม่สังวรณ์
การให้คำตักเตือนว่าหนังสือพิมพ์ได้โฆษณาอันอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เจ้าพนักงานการพิมพ์ไม่จำต้องระบุชื่อเรื่อง และเมื่อหนังสือพิมพ์ไม่สังวรณ์ ยังโฆษณาเรื่องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอีกว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องกับที่ได้มีการตักเตือนก็ตาม เจ้าพนักงานย่อมมีอำนาจสั่งให้หนังสือพิมพ์นั้เสนอเรื่องหรือข้อความไปให้ตรวจข่าวก่อนที่จะโฆษณาได้โดยชอบ
เมื่อมีกรณีพิพาทกันว่าเจ้าพนักงานการพิมพ์จะมีและใช้อำนาจโดยชอบสั่งให้ตรวจข่าวตามพ.ร.บ.การพิมพ์ว่าหนังสือพิมพ์ได้ลงเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่นั้นคู่กรณีจะเสนอคดีต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
เติมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งให้ตรวจข่าวหนังสือพิมพ์โจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้ศาลบังคับเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเสียและให้ใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์สละคำขอให้ใช้ค่าเสียหาย และแม้จะปรากฎว่ากำหนดเวลาตรวจข่าวตามคำสั่งนั้นได้ผ่านล่วงเลยไปแล้วก็ตาม ศาลจะยังคงวินิจฉัยและพิพากษาในประเด็นคำฟ้องที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ตรวจข่าวต่อไปก็ได้
เมื่อมีกรณีพิพาทกันว่าเจ้าพนักงานการพิมพ์จะมีและใช้อำนาจโดยชอบสั่งให้ตรวจข่าวตามพ.ร.บ.การพิมพ์ว่าหนังสือพิมพ์ได้ลงเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่นั้นคู่กรณีจะเสนอคดีต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
เติมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งให้ตรวจข่าวหนังสือพิมพ์โจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้ศาลบังคับเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเสียและให้ใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์สละคำขอให้ใช้ค่าเสียหาย และแม้จะปรากฎว่ากำหนดเวลาตรวจข่าวตามคำสั่งนั้นได้ผ่านล่วงเลยไปแล้วก็ตาม ศาลจะยังคงวินิจฉัยและพิพากษาในประเด็นคำฟ้องที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ตรวจข่าวต่อไปก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์สั่งตรวจข่าว: การตักเตือนและการไม่สังวรณ์
การให้คำตักเตือนว่าหนังสือพิมพ์ได้โฆษณาอันอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เจ้าพนักงานการพิมพ์ไม่จำต้องระบุชื่อเรื่อง และเมื่อหนังสือพิมพ์ไม่สังวรณ์ ยังโฆษณาเรื่องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอีก ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องกับที่ได้มีการตักเตือนก็ตาม เจ้าพนักงานย่อมมีอำนาจสั่งให้หนังสือพิมพ์นั้นเสนอเรื่องหรือข้อความไปให้ตรวจข่าวก่อนที่จะโฆษณาได้โดยชอบ
เมื่อมีกรณีพิพาทกันว่าเจ้าพนักงานการพิมพ์จะมีและใช้อำนาจโดยชอบสั่งให้ตรวจข่าวตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ ว่าหนังสือพิมพ์ได้ลงเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่นั้น คู่กรณีจะเสนอคดีต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
เดิมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งให้ตรวจข่าวหนังสือพิมพ์โจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้ศาลบังคับเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเสียและให้ใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์สละคำขอให้ใช้ค่าเสียหายเสีย และแม้จะปรากฏว่ากำหนดเวลาตรวจข่าวตามคำสั่งนั้นได้ผ่านล่วงเลยไปแล้วก็ตาม ศาลจะยังคงวินิจฉัยและพิพากษาในประเด็นคำฟ้องที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ตรวจข่าวต่อไปก็ได้
เมื่อมีกรณีพิพาทกันว่าเจ้าพนักงานการพิมพ์จะมีและใช้อำนาจโดยชอบสั่งให้ตรวจข่าวตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ ว่าหนังสือพิมพ์ได้ลงเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่นั้น คู่กรณีจะเสนอคดีต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
เดิมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งให้ตรวจข่าวหนังสือพิมพ์โจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้ศาลบังคับเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเสียและให้ใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์สละคำขอให้ใช้ค่าเสียหายเสีย และแม้จะปรากฏว่ากำหนดเวลาตรวจข่าวตามคำสั่งนั้นได้ผ่านล่วงเลยไปแล้วก็ตาม ศาลจะยังคงวินิจฉัยและพิพากษาในประเด็นคำฟ้องที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ตรวจข่าวต่อไปก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: ผู้ใหญ่บ้านมีอำนาจตักเตือนลูกบ้าน การต่อสู้คดีไม่ฟัง
จำเลยนั่งเสพสุราอยู่ ผู้ตายเป็นผู้ใหญ่บ้านมาพบเข้า ได้พูดตักเตือนให้จำเลยกลับบ้าน จำเลยไม่ยอมกลับ และเกิดโต้เถียงกันขึ้น จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามมาตรา 250 เพราะผู้ตายเป็นผู้ใหญ่บ้าน ชอบที่จะว่ากล่าวตักเตือนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: ผู้ใหญ่บ้านตักเตือนการเสพสุรา
จำเลยนั่งเสพสุราอยู่ ผู้ตายเป็นผู้ใหญ่บ้านมาพบเข้าได้พูดตักเตือนให้จำเลยกลับบ้าน จำเลยไม่ยอมกลับ และเกิดโต้เถียงกันขึ้น จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามมาตรา 250 เพราะผู้ตายเป็นผู้ใหญ่บ้านชอบที่จะว่ากล่าวตักเตือนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902-1904/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพักงาน-เลิกจ้าง: การพักงานโดยจ่ายค่าจ้างไม่ถือเป็นการลงโทษ การละทิ้งหน้าที่ต้องมีเหตุร้ายแรงและตักเตือนก่อน
การพักงานไม่เกิน 7 วัน โดยไม่จ่ายค่าจ้างเป็นโทษทางวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้าง การที่ผู้ร้องมีคำสั่งพักงานผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างและเป็นกรรมการลูกจ้างโดยจ่ายค่าจ้างให้ไม่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสองหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อดำเนินการยื่นคำร้องขออนุญาตลงโทษผู้คัดค้านทั้งสองต่อศาลแรงงานภาค 1 การกระทำของผู้ร้องไม่เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52
การละทิ้งหน้าที่ที่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องกรณีร้ายแรงต้องเป็นกรณีลูกจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติที่สำคัญให้นายจ้างแล้วไม่ปฏิบัติเป็นเวลานาน เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีหน้าที่สำคัญอย่างไร หากออกไปจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องอย่างไร การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ออกไปบอกพนักงานของบริษัทรับเหมาค่าแรงให้ไปรวมตัวกันที่โรงอาหารซึ่งเป็นเวลาช่วงบ่ายใกล้เลิกงานแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องเป็นกรณีร้ายแรง
การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ละทิ้งหน้าที่แต่ยังไม่ถึงขนาดหรือมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้เลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อศาลแรงงานภาค 1 เห็นว่าผู้ร้องควรลงโทษด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือเสียก่อน ศาลแรงงานภาค 1 ก็สามารถอนุญาตให้ลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือซึ่งเป็นโทษที่อยู่ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และเป็นโทษสถานเบากว่าการเลิกจ้างได้ ถือเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอ
การละทิ้งหน้าที่ที่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องกรณีร้ายแรงต้องเป็นกรณีลูกจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติที่สำคัญให้นายจ้างแล้วไม่ปฏิบัติเป็นเวลานาน เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีหน้าที่สำคัญอย่างไร หากออกไปจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องอย่างไร การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ออกไปบอกพนักงานของบริษัทรับเหมาค่าแรงให้ไปรวมตัวกันที่โรงอาหารซึ่งเป็นเวลาช่วงบ่ายใกล้เลิกงานแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องเป็นกรณีร้ายแรง
การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ละทิ้งหน้าที่แต่ยังไม่ถึงขนาดหรือมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้เลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 ตามคำร้องของผู้ร้อง เมื่อศาลแรงงานภาค 1 เห็นว่าผู้ร้องควรลงโทษด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือเสียก่อน ศาลแรงงานภาค 1 ก็สามารถอนุญาตให้ลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือซึ่งเป็นโทษที่อยู่ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง และเป็นโทษสถานเบากว่าการเลิกจ้างได้ ถือเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอ