พบผลลัพธ์ทั้งหมด 80 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับแก้ไขคำให้การ และผลของคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุด
หลังจากศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาจึงไม่รับ จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 228(3) ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุดตามมาตรา 236 วรรคแรก โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีละเมิดเดิมถึงที่สุดแล้ว การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีกครั้งถือเป็นฟ้องซ้ำ
เดิมโจทก์ฟ้องบริษัท ต. เป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยอ้างเหตุว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้สามีของโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 แต่ประการใด ส่วนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ฎีกาต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างประมาทด้วยกัน ให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้อีกเพื่อให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอีกครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เมื่อโจทก์จำเลยในคดีนี้กับโจทก์และจำเลยที่ 2 ในคดีเดิมเป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้กับประเด็นในคดีเดิมก็มาจากมูลกรณีละเมิดอันเดียวกัน ทั้งคดีเดิมศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีละเมิดเดิมถึงที่สุดแล้ว แม้ศาลฎีกาแก้ให้จำเลยอีกคนมีส่วนรับผิด ก็ฟ้องซ้ำไม่ได้
เดิมโจทก์ฟ้องบริษัท ต. เป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยอ้างเหตุว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้สามีของโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 แต่ประการใด ส่วนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ฎีกาต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างประมาทด้วยกัน ให้จำเลยที่1 รับผิดเพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้อีกเพื่อให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอีกครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เมื่อโจทก์จำเลยในคดีนี้กับโจทก์และจำเลยที่ 2 ในคดีเดิมเป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้กับประเด็นในคดีเดิมก็มาจากมูลกรณีละเมิดอันเดียวกัน ทั้งคดีเดิมศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์ภายในกำหนด ทำให้คำสั่งศาลถึงที่สุด และฎีกาต้องห้าม
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาหากจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก็ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันทราบคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156วรรคท้าย แต่จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งภายหลังครบกำหนดดังกล่าวแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาจึงถึงที่สุดแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งนั้นได้อีก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์สั่งยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย คำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์สั่งยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย คำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3867/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องทางจำเป็น/ภารจำยอม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยนอกประเด็นที่กำหนด และถือว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับทางภารจำยอมถึงที่สุดแล้ว
คำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น ทั้งยังบรรยายว่าที่ดินที่มีทางภารจำยอมนั้นเป็นที่ดินมรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปันกันถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้ตั้งประเด็นว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่นจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ทั้งในชั้นชี้สองสถานก็ได้กำหนดประเด็นไว้ว่ามีทางภารจำยอมหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นทางจำเป็นและให้เปิดทางจำเป็น จึงเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดนอกฟ้องนอกประเด็น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เปิดทางจำเป็น และยกฟ้องในคำขอข้ออื่น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับทางภารจำยอมแล้ว เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น และมิได้โต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับทางภารจำยอมจึงถึงที่สุด โจทก์จะรื้อฟื้นฎีกาขอให้เปิดทางภารจำยอมอีกหาได้ไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เปิดทางจำเป็น และยกฟ้องในคำขอข้ออื่น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับทางภารจำยอมแล้ว เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น และมิได้โต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับทางภารจำยอมจึงถึงที่สุด โจทก์จะรื้อฟื้นฎีกาขอให้เปิดทางภารจำยอมอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3852/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้องและการถอนฟ้องแย้งที่ถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจนำมาอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
จำเลยที่ 3 ทราบก่อนแล้วว่า บริษัท ส. จดทะเบียนเลิกบริษัท และตั้งผู้ชำระบัญชีและโจทก์จะขอแก้ฟ้อง โดยแถลงต่อศาลว่าไม่คัดค้านที่ของแก้ฟ้องจากบริษัทส. เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ชำระบัญชีของบริษัท ส.(จำเลยที่ 1) เข้ามาด้วยแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องชื่อจำเลยที่ 1เป็นนายรมย์ไชยเสนาผู้ชำระบัญชีบริษัทส.ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ 3 ทราบจำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องดังกล่าวแต่อย่างใด คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าวไม่ได้
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่จำเลยที่ 1 ขอถอนฟ้องแย้งโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ต่อศาลอุทธรณ์ครั้งหนึ่งแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฟ้องแย้งได้คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 3 จะอุทธรณ์ฎีกาปัญหานี้อีกไม่ได้
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่จำเลยที่ 1 ขอถอนฟ้องแย้งโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ต่อศาลอุทธรณ์ครั้งหนึ่งแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฟ้องแย้งได้คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 3 จะอุทธรณ์ฎีกาปัญหานี้อีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2766/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดในการพิจารณาคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยร่วมกันทุจริตเบียดบังข้าวสารของโจทก์ไป และขอให้ชดใช้เงินค่าข้าวสาร ซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาซึ่งกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทุจริตเบียดบังข้าวสารของโจทก์ไป ขอให้ลงโทษและขอให้คืนหรือใช้ราคาข้าวสารเช่นเดียวกัน จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อศาลได้พิพากษายกฟ้องคดีอาญาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกข้าวสารของโจทก์ไปคดีถึงที่สุดแล้ว ในการพิพากษาคดีแพ่งนี้ ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงตกไปรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ภาษีอากรที่ถึงที่สุดแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในคดีล้มละลาย
หนี้ค่าภาษีอากรซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งจำนวนที่จะต้องชำระเพิ่มไปยังลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือลูกหนี้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ลูกหนี้ทราบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ แล้วไม่ยื่นฟ้องต่อศาลภายในกำหนดตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร ถือว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินยุติแล้ว ลูกหนี้หมดสิทธิที่จะรื้อฟื้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินขึ้นโต้แย้งต่อไป และต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2699/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ภาษีอากรถึงที่สุด เมื่อลูกหนี้ไม่ยื่นฟ้องภายในกำหนดตามกฎหมาย แม้มีการอุทธรณ์ก่อนหน้า
หนี้ค่าภาษีอากรซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งจำนวนที่จะต้องชำระเพิ่มไปยังลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือลูกหนี้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ลูกหนี้ทราบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ แล้วไม่ยื่นฟ้องต่อศาลภายในกำหนดตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร ถือว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินยุติแล้ว ลูกหนี้หมดสิทธิที่จะรื้อฟื้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินขึ้นโต้แย้งต่อไป และต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอื่น และการพิจารณาประเด็นนอกฟ้องในคดีแพ่งเกี่ยวกับพินัยกรรม
โจทก์ฟ้องว่าพินัยกรรมของ อ. ซึ่งยกทรัพย์มรดกให้จำเลยเป็นพินัยกรรมปลอมให้จำเลยแบ่งมรดกของ อ. ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าอีกคดีหนึ่งซึ่งจำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ อ. ตามพินัยกรรม และโจทก์คัดค้านว่าเป็นพินัยกรรมปลอมนั้น คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างว่า มิใช่พินัยกรรมปลอม คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ดังนั้น ในคดีนี้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอมหาได้ไม่
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่า เป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา ดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่าเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตราดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
คดีมีประเด็นว่า พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ไม่มีข้อเท็จจริงโต้เถียงกันว่า จำเลยเป็นผู้เขียนหรือผู้พิมพ์พินัยกรรมหรือไม่แต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความมิได้นำสืบ และมิใช่ประเด็นแห่งคดี โดยฟังว่าจำเลยเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรม แล้วนำมาวินิจฉัยปรับเป็นข้อกฎหมายว่าจำเลยต้องห้ามมิให้รับทรัพย์ตามพินัยกรรม พินัยกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1653, 1705 ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในการดำเนินการกระบวนพิจารณาโดยชอบ
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่า เป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา ดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่าเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตราดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
คดีมีประเด็นว่า พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ไม่มีข้อเท็จจริงโต้เถียงกันว่า จำเลยเป็นผู้เขียนหรือผู้พิมพ์พินัยกรรมหรือไม่แต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความมิได้นำสืบ และมิใช่ประเด็นแห่งคดี โดยฟังว่าจำเลยเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรม แล้วนำมาวินิจฉัยปรับเป็นข้อกฎหมายว่าจำเลยต้องห้ามมิให้รับทรัพย์ตามพินัยกรรม พินัยกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1653, 1705 ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในการดำเนินการกระบวนพิจารณาโดยชอบ