คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทำให้เสียทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 164 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเช็คที่ได้จากการลักทรัพย์และการนำไปเบิกเงินเข้าข่ายความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
จำเลยรับเช็คไว้โดยทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมาอันเป็นความผิดฐานรับของโจร แล้วจำเลยนำเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคารจึงเป็นการเอาไปเสียซึ่งเช็คของผู้เสียหายในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 อีกบทหนึ่งด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 471/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดแย้งกันในคดีทำให้เสียทรัพย์ และการยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีสาเหตุกัน จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งขอให้เปิดทางภารจำยอมคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาปรากฏว่าประจักษ์พยานโจทก์คงมีแต่ตัวโจทก์ทั้งสองและ ส. บุตรโจทก์ทั้งสอง ดังนี้การรับฟังคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองมีความสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1ที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเชื่อโดยสุจริตในการครอบครองพื้นที่สาธารณะและการกระทำเพื่อรักษาสิทธิในการประกอบอาชีพ หาใช่ความผิดทำให้เสียทรัพย์ไม่
จำเลยตั้งแผงขายผลไม้ที่บริเวณสันรางน้ำและขอบรางน้ำริมถนนซึ่งอยู่ใกล้ทางเข้าตลาดมานานหลายปีแล้ว ถัดจากแผงของจำเลยเข้าไปเป็นแผงขายปลาของโจทก์ร่วม ซึ่งเช่ามาจากผู้ดูแลตลาด โจทก์ร่วมได้ยกแผงของจำเลยออกแล้วเทพื้นปูนซีเมนต์บริเวณที่ตั้งแผงทั้งของโจทก์ร่วมและจำเลยในยามวิกาลเวลา 23 นาฬิกาเศษ เมื่อเทพื้นแล้วได้ยกแผงขายของของโจทก์ร่วมมาตั้งแทน โดยติดขาแผงไว้กับพื้นซีเมนต์ด้วย ต่อมาวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 9 นาฬิกา จำเลยทำพื้นซีเมนต์บริเวณที่ตั้งแผงของจำเลยเสียหาย แต่กรณีมีเหตุให้ฟังได้ว่าจำเลยเชื่อว่าแผงของจำเลยตั้งอยู่ในที่ดินสาธารณะ และหากจำเลยไม่ทุบพื้นซีเมนต์งัดไม้แบบและขาโต๊ะของโจทก์ร่วมออก จำเลยก็ไม่สามารถตั้งลังและแผงขายของของตนได้ เช่นนี้ การที่จำเลยกระทำดังกล่าวจึงเป็นเพียงเพื่อจะตั้งแผงขายผลไม้ตามที่ขายอยู่เป็นประจำวันด้วยความเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิที่จะกระทำได้เท่านั้น หาเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องมีผู้เสียหายโดยตรง และการบุกรุกอสังหาริมทรัพย์
แม้ปูนซีเมนต์ที่จำเลยทำให้เสียหายจะอยู่ในบริเวณโรงเรียนซึ่ง อยู่ในความครอบครองดูแลของ ส. ครูใหญ่ แต่ปูนซีเมนต์ดังกล่าวเป็นของ ล. ซึ่งรับเหมาก่อสร้างให้โรงเรียน และมีคนงานของ ล. พักอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนด้วย แสดงว่า ล. มอบปูนซีเมนต์ดังกล่าวให้อยู่ในความครอบครองดูแลของคนงานของตน ส. จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่จำเลยเดินเข้าไปในบริเวณโรงเรียนในเวลากลางคืนจนไปถึงอาคาร 2 ซึ่งไม่ใช่ทางผ่านและฉีกถุงปูนซีเมนต์ที่เก็บไว้หน้าอาคาร 2 แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ ส. ครูใหญ่ของโรงเรียนดังกล่าวโดยปกติสุขจำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีทำให้เสียทรัพย์เป็นของผู้เสียหายโดยตรง ส่วนความผิดฐานบุกรุกเกิดจากการรบกวนการครอบครอง
ขณะเกิดเหตุโรงเรียนจ้างเหมานางเล็กก่อสร้างส้วม และปูนซีเมนต์ที่ได้รับความเสียหายก็เป็นของนางเล็ก แม้ปูนซีเมนต์จะอยู่ในบริเวณโรงเรียนซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของนางสมรครูใหญ่ แต่นางเล็กก็มีคนงานพักอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนและมอบปูนซีเมนต์ให้อยู่ในความครอบครองดูแลของคนงาน ดังนี้นางเล็กเป็นผู้เสียหายโดยตรง นางสมรไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแก่จำเลยได้ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 เป็นความผิดต่อส่วนตัวเมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนการสอบสวนในข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 121 วรรคสอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเข้าไปในโรงเรียน แม้จำเลยจะมีสิทธิเดินผ่านโรงเรียนได้ แต่การที่จำเลยเดินเข้าไปในบริเวณโรงเรียนในเวลากลางคืนจนไปถึงอาคารซึ่งไม่ใช่ทางผ่านและฉีกถุงปูนซีเมนต์ที่เก็บไว้หน้าอาคาร แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของนางสมรครูใหญ่โดยปกติสุขจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(3) ประกอบด้วยมาตรา 362.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีทำให้เสียทรัพย์ขึ้นอยู่กับผู้เสียหายที่แท้จริง แม้ทรัพย์สินจะอยู่ในความครอบครองของผู้อื่น การบุกรุกต้องมีเจตนา
แม้ปูนซีเมนต์ที่จำเลยทำให้เสียหายจะอยู่ในบริเวณโรงเรียนซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของ ส. ครูใหญ่ แต่ปูนซีเมนต์ดังกล่าวเป็นของ ล. ซึ่งรับเหมาก่อสร้างให้โรงเรียน และมีคนงานของ ล. พักอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนด้วย แสดงว่า ล. มอบปูนซีเมนต์ดังกล่าวให้อยู่ในความครอบครองดูแลของคนงานของตนส. จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 121 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยเดินเข้าไปในบริเวณโรงเรียนในเวลากลางคืน จนไปถึงอาคาร 2 ซึ่งไม่ใช่ทางผ่านและฉีกถุงปูนซีเมนต์ที่เก็บไว้หน้าอาคาร 2 แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ ส. ครูใหญ่ ของโรงเรียนดังกล่าวโดยปกติสุขจำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีทำให้เสียทรัพย์ และความผิดฐานบุกรุก: ผู้เสียหายที่แท้จริงและการกระทำที่เป็นความผิด
แม้ปูนซีเมนต์ที่จำเลยทำให้เสียหายจะอยู่ในบริเวณโรงเรียนซึ่ง อยู่ในความครอบครองดูแล ของ ส. ครูใหญ่ แต่ ปูนซีเมนต์ดังกล่าวเป็นของ ล. ซึ่ง รับเหมาก่อสร้างให้โรงเรียน และมีคนงานขอ ล. พักอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนด้วย แสดงว่า ล. มอบปูนซีเมนต์ดังกล่าวให้อยู่ในความครอบครองดูแล ของคนงานของตน ส. จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยเดิน เข้าไปในบริเวณโรงเรียนในเวลากลางคืนจนไปถึง อาคาร 2 ซึ่ง ไม่ใช่ทางผ่านและฉีก ถุง ปูนซีเมนต์ที่เก็บไว้หน้าอาคาร 2 แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ ส. ครูใหญ่ของโรงเรียนดังกล่าวโดยปกติสุขจำเลยจึงมีความผิดฐาน บุกรุก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6344/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำให้เสียทรัพย์ แม้จะอ้างคำสั่งนายอำเภอ ก็ต้องรับผิดตามกฎหมาย
นายอำเภอขอความร่วมมือจากประชาชนให้ร่วมกันพัฒนาบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ตัดฟันต้นไม้ของโจทก์ในบริเวณนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของโจทก์ทั้งจำเลยที่ 2 เคยตัดฟันต้นไม้ของโจทก์มาก่อนจนถูกฟ้องมาแล้วครั้งหนึ่ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหาย การที่นายอำเภอขอความร่วมมือดังกล่าว เป็นแต่เพียงคำแนะนำ จำเลยที่ 2 จะกระทำหรือไม่กระทำตามก็ได้ มิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับโทษ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6344/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำให้เสียทรัพย์ แม้ได้รับคำแนะนำจากนายอำเภอ ก็ไม่ถือเป็นเหตุให้ไม่ต้องรับโทษ
นายอำเภอขอความร่วมมือจากประชาชนให้ร่วมกันพัฒนาบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ฟันตัดไม้ของโจทก์ในบริเวณนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นของโจทก์ทั้งจำเลยที่ 2 เคยตัดฟันต้นไม้ของโจทก์มาก่อนจนถูกฟ้องมาแล้วครั้งหนึ่ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหาย การที่นายอำเภอขอความร่วมมือดังกล่าวเป็นแต่เพียงคำแนะนำจำเลยที่ 2 จะกระทำหรือไม่กระทำตามก็ได้มิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับโทษ การกระทำของจำเลยที่ 2จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5166/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินหวงห้าม: การครอบครองที่ดินรกร้างว่างเปล่าหลังมีกฎหมายหวงห้าม และความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ขณะใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอปากน้ำโพ อำเภอพยุหคีรี อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ พุทธศักราช 2479 ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ภายในเขตนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ จึงเป็นที่ดินหวงห้ามตามกฎหมายดังกล่าวและตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 10 ยังคงให้เป็นที่หวงห้ามต่อไป โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองที่ดินพิพาทในภายหลังเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หาก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินพิพาทที่จะใช้ยันต่อรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ไม่ ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ของโจทก์การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการกรมพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นหน่วยราชการที่จะเข้าใช้ประโยชน์โดยได้รับอนุญาตจากกองทัพบกได้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ขับรถแทรกเตอร์ไถคันดินที่โจทก์ทำไว้ปรับระดับให้เสมอกันเพื่อปลูกสร้างสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ขึ้นในที่ดินพิพาท จึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
of 17