พบผลลัพธ์ทั้งหมด 96 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2235/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนฟ้องคดี: ศาลมีอำนาจไม่รับฟ้องหากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 60วรรคสี่ ที่กำหนดว่า ถ้านายจ้างเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาล นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดชำระตามคำสั่งของอธิบดีจึงจะฟ้องคดีได้นั้น เป็นข้อกฎหมายที่บังคับให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องปฏิบัติเสียก่อน จึงจะฟ้องคดีได้ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้แม้มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นพิพาทแห่งคดี ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้วางเงินต่อศาลก่อนตามที่กฎหมายกำหนดในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 60 วรรคสี่ เมื่อความข้อนี้ปรากฏในภายหลังศาลแรงงานกลางจึงมีคำสั่งใหม่ให้เพิกถอนคำสั่งเป็นไม่รับฟ้องโจทก์ดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯมาตรา 31 แม้คำสั่งศาลดังกล่าวจะเพิกถอนคำสั่งเดิม เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้โจทก์วางเงินและยื่นฟ้องได้สิ้นสุดลงแล้วและทำให้โจทก์หมดสิทธิ์ ยื่นฟ้องใหม่ก็ตาม แต่การที่โจทก์หมดสิทธิ์ ยื่นฟ้องใหม่นั้น มิใช่เพราะการเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องของศาลแรงงานฯ โดยตรง หากแตก เกิดจากความบกพร่องของโจทก์เองที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของกฎหมายซึ่งได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้ว ดังนี้โจทก์จะยกเอาความบกพร่องของโจทก์มาอ้างเพื่อให้ศาลขยายกำหนดระยะเวลาการยื่นฟ้องออกไปหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ
จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 เมษายน 2532 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อในคำฟ้องฎีกามีข้อความบันทึกให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความดังกล่าว กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3855/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระงับข้อพิพาทและการปฏิบัติตามสัญญา: สิทธิของคู่กรณีเมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม
โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ และตกลงกันด้วยว่าโจทก์จำเลยจะถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์คดีอื่น ๆ ที่ฟ้องร้องพัวพันกันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยคู่ความจะถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์คดีอื่น ๆ ภายในกำหนด7 วัน นับแต่วันที่ศาลสั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความดังนี้ แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่แล้วให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยมีเงื่อนไขที่แต่ละฝ่ายจะต้องปฏิบัติตาม และจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยไม่ถอนฟ้องคดีแพ่งเรื่องหนึ่งดังที่ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีนั้นหรือดำเนินคดีกับโจทก์เกี่ยวกับคดีแพ่งที่โจทก์ไม่ถอนฟ้องนั้นเป็นคดีใหม่ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลในคดีนี้ให้ออกหมายเรียกโจทก์มาสอบถามและบังคับให้ถอนฟ้องหรือออกหมายขังไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3855/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระงับข้อพิพาทและการปฏิบัติตามสัญญา: สิทธิของคู่กรณีเมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม
โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ และตกลงกันด้วยว่าโจทก์จำเลยจะถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์คดีอื่น ๆ ที่ฟ้องร้องพัวพันกันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยคู่ความจะถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์คดีอื่น ๆ ภายในกำหนด7 วัน นับแต่วันที่ศาลสั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความดังนี้ แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่แล้วให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยมีเงื่อนไขที่แต่ละฝ่ายจะต้องปฏิบัติตาม และจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยไม่ถอนฟ้องคดีแพ่งเรื่องหนึ่งดังที่ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีนั้นหรือดำเนินคดีกับโจทก์เกี่ยวกับคดีแพ่งที่โจทก์ไม่ถอนฟ้องนั้นเป็นคดีใหม่ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลในคดีนี้ให้ออกหมายเรียกโจทก์มาสอบถามและบังคับให้ถอนฟ้องหรือออกหมายขังไว้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องของโจทก์ในวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นคำฟ้องว่าให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน7 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ มิฉะนั้นให้ถือว่าทิ้งฟ้อง ทั้งคำขอท้ายฟ้องมีข้อความด้วยว่า โจทก์รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว ดังนี้ ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลดังกล่าวในวันยื่นคำฟ้องแล้วไม่จำเป็นที่ศาลต้องส่งคำสั่งศาลให้โจทก์ทราบอีก และไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องแจ้งผลการส่งหมายให้โจทก์ทราบด้วย เมื่อโจทก์ไม่แถลงให้ศาลทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งหมายไม่ได้ จึงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6109/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการวางค่าฤชาธรรมเนียมและชำระเงินตามคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามครบถ้วน ถือเป็นการทิ้งคำร้อง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยว่า ให้จำเลยนำค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาวางศาลภายในกำหนด 7 วันย่อมหมายถึงให้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ครั้นวันครบกำหนดจำเลยคงนำแต่ค่าฤชาธรรมเนียมที่ใช้แทนโจทก์มาวางศาลเท่านั้นมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ถือได้ว่าจำเลยทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถตามคำพิพากษา: การรับรถคืนถือเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนรถยนต์และเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ หากศาลไม่ให้ทุเลาการบังคับก็ขอให้กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่ให้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนได้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนไปแล้ว ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่ได้รับรถคืนไปเท่านั้น จะอ้างว่านำรถยนต์ไปเก็บรักษาตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติมิได้รับรถยนต์ตามคำพิพากษาและขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในเวลาต่อมานั้นไม่ได้ การที่จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ไปเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ป.วิ.พ. มาตรา 234 หากไม่ปฏิบัติตามศาลมีสิทธิยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่จำเลยยื่นคำร้องโดยอ้าง ป.วิ.พ. มาตรา 27 ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเนื้อแท้ของคำร้องก็คือการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 นั่นเอง เมื่อจำเลยไม่นำค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลภายในเวลาที่ศาลอุทธรณ์กำหนด ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกคำร้อง จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างและการยินยอมของสหภาพแรงงาน การปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีการโต้แย้งทำให้สิทธิเรียกร้องสูญเสีย
เมื่อจำเลยได้มีคำสั่งกำหนดเงินส่วนแบ่งจากค่าโดยสารให้แก่พนักงานเก็บค่าโดยสารแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนแบ่งจากคำสั่งเดิม สหภาพแรงงานผู้ปฏิบัติงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ซึ่งโจทก์เป็นสมาชิกอยู่ด้วยมิได้ทักท้วง ย่อมมีผลเป็นว่าสหภาพแรงงานฯ ได้เห็นชอบตามคำสั่งของจำเลยและเมื่อโจทก์เข้าเป็นลูกจ้างของจำเลยจนถึงวันฟ้องโจทก์ก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยโดยยอมรับเอาเงินส่วนแบ่งจากรายได้ค่าโดยสารตามอัตราที่กำหนดไว้ตลอดมาโดยมิได้โต้แย้งคัดค้าน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาส่วนแบ่งจากรายได้ค่าโดยสารนอกเหนือไปจากที่กำหนดอัตราไว้ในคำสั่งดังกล่าวของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์
ในวันที่ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ และกำหนดเวลาให้ผู้อุทธรณ์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ ศาลได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ไปกรมบังคับคดีเพื่อรอการนำส่งแล้ว ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่ง จึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ข้อที่อ้างว่าในทางปฏิบัติอีกฝ่ายจะมารับสำเนาอุทธรณ์จากเจ้าหน้าที่เอง ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว.(ที่มา-เนติ)