คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปฏิบัติหน้าที่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6837/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนเงินอากรขาเข้าและอำนาจฟ้องคดีละเมิดจากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าภายใน1ปีนับแต่วันนำเข้าแต่ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ได้เปิดตรวจสินค้าแล้วมีความเห็นว่าของที่โจทก์นำเข้าและขอส่งออกไม่ใช่ของรายเดียวกันจึงแจ้งข้อหาโจทก์ว่าสำแดงเท็จเพื่อขอคืนอากรและยึดผ้าไว้ดังนั้นการที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปยังเมืองต่างประเทศภายใน1ปีได้นั้นจึงมิใช่ความผิดของโจทก์แต่เป็นเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1กักยึดผ้าของโจทก์ไว้เท่ากับเป็นการไม่อนุญาตให้โจทก์ส่งออกโจทก์จึงมีสิทธิขอคืนเงินอากรขาเข้าเป็นจำนวนเงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง การฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้ผู้ขอคืนเงินภาษีอากรได้รับการคืนเงินภาษีโดยชอบย่อมเป็นคดีเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากรตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในมูลละเมิดตามฟ้อง จำเลยที่2ถึงที่4เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ได้ปฏิบัติงานไปตามขั้นตอนมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อการที่มีความเห็นในตอนแรกว่าผ้าที่โจทก์ขอส่งออกมิใช่ของรายเดียวกับที่นำเข้าก็เพราะตรวจพบว่ามีตราคาเนโบติดอยู่ที่เนื้อผ้าแต่ใบขนสินค้าขาเข้าระบุว่าไม่มีตราจึงมีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1จึงมีอำนาจกักยึดผ้าของโจทก์ไว้และสั่งดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6027/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของลูกจ้างและผู้ค้ำประกันจากความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่นอกเหนืออำนาจ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งพนักงานสินเชื่อ ไม่มีหน้าที่รับชำระหนี้จากสมาชิกของโจทก์ แต่ได้กระทำการนอกหน้าที่โดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจไปหลอกลวงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินคืนให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของจำเลยที่ 1 นั้นแล้ว ย่อมต้องถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 เรียกเก็บเงินและรับเงินไว้จากสมาชิก จำเลยที่ 1จึงมีหน้าที่จะต้องนำมามอบให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย การที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการผิดสัญญาจ้าง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามความในข้อ 1 แห่งสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนอง กำหนดให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องรับผิดในความเสียหายอันเนื่องมาจากกระทำหรืองดเว้นกระทำไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ ของจำเลยที่ 1 ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ตามที่กำหนดไว้ในหนังสือสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1และเมื่อสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีความว่า ผู้ว่าจ้างได้ว่าจ้างผู้รับจ้างกระทำการในตำแหน่งพนักงานสินเชื่อหรือตำแหน่งหน้าที่อื่นที่ได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายจากคณะกรรมการดำเนินการ หรือผู้จัดการสหกรณ์โจทก์เช่นนี้ เมื่อความเสียหายของโจทก์เกิดจากการกระทำซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบของจำเลยที่ 1แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3215/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานปฏิบัติ/ละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
จำเลยเป็นปลัดอำเภอได้รับแต่งตั้งจากนายอำเภอให้ทำการตรวจสอบผลงานตามโครงการสร้างงานในชนบทของสภาตำบล การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ในทางราชการ จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ต้องเดินทางไปตรวจสอบผลงานตามโครงการที่ได้รับมอบหมายแล้วรายงานให้นายอำเภอทราบ การที่จำเลยทำรายงานว่า สภาตำบลได้จ้างเหมาเครื่องจักรกลขุดดินถูกต้องตามโครงการแล้ว เห็นควรให้คณะกรรมการสภาตำบลดำเนินการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างทั้ง ๆ ที่งานตามโครงการยังไม่แล้วเสร็จ โดยจำเลยได้ร่วมออกไปดูการตรวจสอบรับมอบงานของคณะกรรมการตรวจรับการจ้างดังกล่าวด้วยอีกทั้งงานในส่วนที่ยังไม่แล้วเสร็จนั้นอาจตรวจสอบและพบเห็นได้โดยง่าย ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้นายอำเภอและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: การสนับสนุนมิให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ vs. การถูกเรียกเงินภายหลัง
โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยเรียกร้องเงินจากโจทก์ครั้งแรกในวันที่ 6 มิถุนายน 2531 โจทก์เองก็ได้ยอมรับว่าได้ต่อรองจำนวนเงินและตกลงให้เงินแก่จำเลยจำนวน 15,000 บาท ถือได้ว่าโจทก์สมัครใจมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยเพื่อไม่ต้องการให้จำเลยส่งเรื่องแบ่งแยกที่ดินไปกระทรวงดังจำเลยอ้าง โจทก์จึงมีส่วนสนับสนุนไม่ให้จำเลยกระทำการตามหน้าที่ดังกล่าว โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า ในวันที่ 9 มิถุนายน2532 จำเลยได้เรียกร้องเงินจากโจทก์อีกเป็นครั้งที่สองจำนวน 4,000 บาทจำเลยจึงจะมอบ น.ส.3 ก. ที่แบ่งแยกให้โจทก์นั้น โจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินแก่จำเลยแต่อย่างใด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีฝ่าฝืนระเบียบบริษัทและการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุห้ามใช้เวลาหรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ไปทำงานส่วนตัวโดยมิได้รับอนุญาต การที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นให้แก่ลูกจ้างจำเลยสองคน คนหนึ่งซื้อยาสระผมและครีมนวดผมอีกคนหนึ่งซื้อลิปสติกการซื้อขายสิ่งของจำนวนเล็กน้อยโดยปกติใช้เวลาเพียงครู่เดียวทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใดการกระทำของโจทก์จึงมิใช่การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง จำเลยไม่เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือมาก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ การที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นแก่ลูกจ้างจำเลยย่อมเป็นเหตุให้ทั้งโจทก์และลูกจ้างต้องหยุดการทำงานเพื่อเจรจาและส่งมอบสินค้าที่โจทก์นำมาขาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่การงานของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6205/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ทุจริตจ่ายเงินทดแทนโดยมิชอบ และความผิดสนับสนุน
จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่ 3กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(1)(4) ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน จากตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว ย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มาก และความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อ การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนากระทำความผิดกับจำเลยที่ 3และจำเลยอื่น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5709/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับคดีภายในกำหนดเวลา 10 ปี เจ้าหนี้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน สิทธิบังคับคดียังคงมี
ป.วิ.พ. มาตรา 271 บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนดสิบปี นับแต่วันมีคำพิพากษาและในการร้องขอให้บังคับคดี โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็จะต้องดำเนินวิธีการบังคับคดีตามขั้นตอนให้ครบถ้วนภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว คือ ต้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีก่อน ขั้นต่อไปต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีแล้ว จากนั้น ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาถ้ามีลูกหนี้หลายคนให้ระบุว่าต้องการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้คนใด
โจทก์ร้องขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แต่ได้นำยึดทรัพย์สินเฉพาะของจำเลยที่ 1ออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ แม้โจทก์ยังมิได้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แต่โจทก์ได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้นขอให้ยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ภายในเวลา 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา แต่เนื่องจากที่ดินอยู่นอกเขตศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้นจึงได้มีหนังสือถึงศาลชั้นต้นขอให้ศาลจังหวัดสีคิ้วซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินตั้งอยู่ช่วยบังคับคดีแทน การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดสีคิ้วจะไปยึดที่ดินเมื่อใดนั้น เป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดสีคิ้วจะไปทำการยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 เกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามป.วิ.พ.มาตรา 271 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ที่ดินของจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5709/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีภายใน 10 ปี: เจ้าหนี้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน แม้การยึดทรัพย์ล่าช้าก็มีสิทธิบังคับคดีได้
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในเวลา 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาถือได้ว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้ว ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดทรัพย์เมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีแม้จะพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์นั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม ไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 157 แม้มีข้อพิพาทเรื่องที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
แม้โจทก์จะเคยยื่นฎีาและคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไป เพื่อรอเสนอคำรับรองให้ฎีกาของอัยการสูงสุดในกระทงความผิดที่ต้องห้ามฎีกามาก่อน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้วก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ส่งฎีกาของโจทก์ไปให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาอีกทางหนึ่งได้
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเทศมนตรี และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นปลัดเทศบาล ได้ร่วมกันประชุมคณะเทศมนตรีแล้ว มีมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อนำไปใช้ในการจัดเก็บรายได้ของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นเทศบาล แม้แผนที่นี้จะมีการแสดงเส้นประว่าที่ดินบางส่วนของโจทก์พังลงน้ำไปแล้ว หรือไม่ถูกต้องตรงกับรูปแผนที่ระวางในโฉนดที่ดินของโจทก์ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ และไม่ทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ลงมิติดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157
คณะทำงานเพื่อดำเนินการพิจารณาข้อร้องเรียนของราษฎรที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้น มีความเห็นว่าอาคารของโจทก์ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัย และที่ดินที่ทำการก่อสร้างอาคารมปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เพราะโจทก์ถมดินเลยตลิ่งลงไปในลำน้ำเจ้าพระยา จนจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 มีมติแก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 ไปแล้ว การที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ออกคำสั่งห้ามโจทก์ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคาร และออกคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคาร จึงเป็นการที่เจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้วให้โจทก์เสียหาย อันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157
คณะทำงานที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้นทำรายงานว่าที่ดินที่จำเลยที่ 6 อนุญาตให้โจทก์สร้างรั้วคอนกรีตนั้น โจทก์ถมดินเลยตลิ่นลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นกรณีที่จำเลยที่ 6 ไม่มีอำนาจอนุญาตให้สร้างรั้วดังกล่าวได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อน การที่จำเลยที่ 2 มีคำสั่งรื้อรั้วคอนกรีตตามรายงานของคณะทำงานจึงเป็นผลต่อเนื่องจากมติที่ประชุมของคณะเทศมนตรีของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นมติที่มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งหกจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157
เดิม ม.ซึ่งเป็นมารดาของ ป. เป็นผู้ยื่นคำขอให้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ในที่ดินของ ป. ต่อมา ม.ถึงแก่กรรมแล้ว ป. และโจทก์ซึ่งซื้อที่ดินจาก ป. ในเวลาต่อมาได้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ต่อไปโดยปริยายต่อมาโจทก์เปลี่ยนท่อน้ำประปาเข้าที่ดินของโจทก์จากเดิมขนาด 6 หุน ให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 2 นิ้ว และเปลี่ยนที่ตั้งมาตรวัดน้ำนั้นได้กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตุดการจ่ายน้ำประปาให้โจทก์ตามข้อบังคับ จึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5249/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธข่มขู่: ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ ระหว่างจำเลยหลบหนีถูกผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุม จำเลยขับรถ-จักรยานยนต์เข้าข้างทางและล้มลง จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์แล้วชักอาวุธปืนสั้นเล็งมาทางผู้เสียหายกับพวกเพื่อข่มขู่มิให้ผู้เสียหายกับพวกทำการจับกุมจำเลยจำเลยจึงมีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธปืนขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ตาม ป.อ. มาตรา 138 วรรคสอง,140 วรรคแรก และวรรคสาม
of 31