พบผลลัพธ์ทั้งหมด 102 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ผู้รับโอนประทานบัตรเหมืองแร่ในการปฏิบัติตามกฎหมายและประกาศราชการ แม้หลุมบ่อมีอยู่ก่อน
จำเลยรับโอนกิจการเหมืองแร่และประทานบัตรจาก ส. ขณะที่รับโอนมีบ่อหลุมตามฟ้องอยู่ในโรงแต่งแร่อยู่แล้ว และรับโอนมาภายหลังจากที่ประกาศผู้อำนวยการเขตควบคุมแร่ประจำเขตจังหวัดภูเก็ตพังงา ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2528) เรื่องการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเขตเหมืองแร่และเขตแต่งแร่ โดยกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเขตเหมืองแร่และเขตแต่งแร่ว่า สภาพของอาคารซึ่งใช้ในการเก็บแร่หรือมีแร่ไว้ในครอบครองของเหมืองจะต้องมีพื้นอาคารเทคอนกรีตและไม่มีห้องหรือหลุมใต้ดินในบริเวณอาคารและไม่มีห้องหรือหลุมใต้ดินที่พื้นนั้น การที่อาคารโรงแต่งแร่ของจำเลยมีบ่ออยู่ใต้พื้นซีเมนต์ถึง 3 บ่อ และเจ้าพนักงานได้ค้นพบแร่ดีบุกของกลางเก็บซ่อนไว้ในบ่อนั้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนประกาศผู้อำนวยการเขตควบคุมแร่ดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง จำเลยจะอ้างว่าบ่อดังกล่าวมีมาก่อนที่จำเลยจะรับโอนกิจการเหมืองแร่และประทานบัตรไม่ได้ เพราะจำเลยได้รับโอนกิจการเหมืองแร่และประทานบัตรมาแล้วย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องจัดการแก้ไขและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายและประกาศของทางราชการ มิฉะนั้นก็จะเป็นทางให้มีการหลีกเลี่ยงกฎหมายและประกาศดังกล่าวด้วยการโอนกิจการเหมืองแร่และประทานบัตรกันได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตเหมืองแร่ตามกฎหมายแร่ ไม่รวมพื้นที่เก็บขังน้ำขุ่นข้น/มูลดินทรายนอกประทานบัตร การเก็บแร่ในพื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นความผิด
เขตเหมืองแร่ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 4หมายความถึงเขตพื้นที่ซึ่งกำหนดในประทานบัตรชั่วคราวหรือประทานบัตรเท่านั้น หาหมายรวมถึงบริเวณพื้นที่ซึ่งใช้เป็นที่เก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายด้วยไม่ ฉะนั้น การที่จำเลยมีแร่จำนวนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเก็บไว้ในเขตซึ่งเป็นที่ทิ้งมูลดินทรายนอกเขตพื้นที่ในประทานบัตร จึงมีความผิดตามมาตรา 105
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องกรณีประทานบัตร, การเพิกถอนประทานบัตรที่ชอบด้วยกฎหมาย, และความรับผิดจากการละเมิด
ศ. มีชื่อเป็นผู้ถือประทานบัตรการที่โจทก์เข้า ทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ตามประทานบัตรก็โดยอาศัยสิทธิของ ศ. โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองหรือได้รับโอน ประทานบัตรจาก ศ. ตามมาตรา 77,78 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 สิทธิการทำเหมืองตามประทานบัตรยังเป็น ของ ศ. การที่จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนประทานบัตร ดังกล่าว หาเป็นการโต้แย้งสิทธิการทำเหมืองของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่โจทก์ทำเหมืองผิดจากที่ได้รับอนุญาตตามประทานบัตรปล่อยทำนบเก็บกักน้ำขุ่นข้นดินทรายที่ชิดทางน้ำพังอัน เป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 138 นั้น อำนาจของรัฐมนตรีตามกฎหมายดังกล่าวแตกต่างจากอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งเพิกถอนประทานบัตรที่กำหนดไว้ในมาตรา 85,86 ซึ่งบัญญัติ ไว้ในหมวดทำเหมือง แต่มาตรา 138 บัญญัติไว้ในหมวดกำหนดโทษซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งเพิกถอน ประทานบัตรตามมาตรา 138 เพราะเหตุที่ผู้ถือประทานบัตรกระทำผิดพระราชบัญญัติแร่ได้ต่อเมื่อ ผู้ถือประทานบัตรได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กระทำอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ได้มีการดำเนินคดีให้ มีการลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติแร่ มาตรา 138 รัฐมนตรี จึงไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์ การที่ จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนประทานบัตรที่ออกให้โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจทำเหมือง ได้ ต่อไปจนสิ้นกำหนดตามประทานบัตร โจทก์ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1756/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่บุกรุกประทานบัตร: ความชัดเจนของขอบเขตที่ดินในคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ซึ่ง ตั้งอยู่ ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และแนบสำเนาภาพถ่ายประทานบัตรรวมทั้งแผนที่ของประทานบัตรมาท้ายฟ้อง ด้วยแม้จะมิได้บรรยายถึงบริเวณที่ดินซึ่งจำเลยบุกรุก ว่าอยู่ตอนใด ทิศไหน กว้างยาวเท่าไร และติดต่อกับอะไร บ้างก็ตาม แต่ก็ได้บรรยายว่าเรื่องที่จำเลยบุกรุกนี้โจทก์ ได้ไปร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่อำเภอเจ้าหน้าที่ได้ไกล่เกลี่ย ให้จำเลยออกไปพร้อมทั้งแนบสำเนาภาพถ่ายใบยอมความมาท้ายฟ้อง ด้วย ดังนั้น จำเลยย่อมจะทราบแล้วว่า บริเวณที่โจทก์ กล่าวหาว่าบุกรุกนั้นอยู่ตอนใด ทิศไหน กว้างยาวเท่าไรและติดต่อกับอะไรบ้าง คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน-สิทธิครอบครอง-ประทานบัตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยการฟ้องซ้ำ/ซ้อน และสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาท
คดีนี้โจทก์บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 อย่างเดียวกับที่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองไว้ในคดีก่อน จึงเป็นคำฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1) ส่วนจำเลยที่ 1และที่ 2 โจทก์มิได้ฟ้องในคดีก่อนด้วยไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3860/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน - ประทานบัตรทำเหมืองแร่ - ห้ามเข้าทำประโยชน์ก่อนมีคำพิพากษา
โจทก์จำเลยพิพาทกันในเรื่องสิทธิครอบครองเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อคดียังไม่มีคำชี้ขาดของศาลว่าที่พิพาทอยู่ในสิทธิครอบครองของฝ่ายใดแล้ว การที่จะให้ฝ่ายจำเลยเข้าทำประโยชน์เหมืองแร่ในที่พิพาทตามที่อ้างว่าได้รับประทานบัตรมา ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะให้ฝ่ายจำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทไปก่อนคดีจะถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูดแร่ผิดกฎหมายนอกเขตประทานบัตร: จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.แร่ และต้องริบแร่ของกลาง
จำเลยเป็นผู้ขับแพควบคุมคนงานออกดูดหาแร่ การออกหาแร่คราวหนึ่ง ๆ ในเวลาราว 5-6 วัน จำเลยได้ทำการดูดแร่นอกเขตประทานบัตรที่ได้รับอนุญาต มีแร่อยู่ในความครอบครองเกิน 2 กิโลกรัม แร่ที่ดูดขึ้นมาบนแพถือได้ว่าอยู่ในความครอบครองของจำเลย และแร่ของกลางนั้นเป็นแร่ที่อยู่นอกเขตเหมืองแร่ที่เก็บแร่นั้นไว้เป็นแร่ที่จำเลยได้มาไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย จำเลยมีความผิดและแร่ของกลางต้องริบตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองแร่ผิดกฎหมายจากการดูดแร่นอกเขตประทานบัตร ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมให้ริบแร่ของกลาง
จำเลยเป็นผู้ขับแพควบคุมคนงานออกดูดหาแร่ การออกหาแร่คราวหนึ่งๆใช้เวลาราว 5-6 วันจำเลยได้ทำการดูดแร่นอกเขตประทานบัตรที่ได้รับอนุญาต มีแร่อยู่ในความครอบครองเกิน 2 กิโลกรัม แร่ที่ดูดขึ้นมาบนแพถือได้ว่าอยู่ในความครอบครองของจำเลย และแร่ของกลางนั้นเป็นแร่ที่อยู่นอกเขตเหมืองแร่ที่เก็บแร่นั้นไว้เป็นแร่ที่จำเลยได้มาไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย จำเลยมีความผิดและแร่ของกลางต้องริบตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำเหมืองเป็นของผู้ถือประทานบัตร การมอบอำนาจเป็นเพียงตัวแทน ไม่ใช่การโอนสิทธิ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ช. เป็นผู้ถือประทานบัตร จึงเป็นผู้มีสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตร การที่ ช. ทำหนังสือมอบอำนาจตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจทำการแทนในการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติการตราพระราชบัญญัติแร่ ในกิจการที่ระบุไว้ เป็นเพียงการตั้งตัวแทนเพื่อติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น สิทธิทำเหมืองแร่ยังเป็นของ ช. ส่วนกาที่ ช. ทำสัญญารับเงินค่าตอบแทนแล้วมอบให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการขุดแร่ ขายแร่ ได้ตามอายุประทานบัตรแต่ผู้เดียว โดยให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิและใช้สิทธิของตนได้โดยพลการนั้น มิใช่การโอนประทานบัตรแต่เป็นการให้โจทก์รับช่วงการทำเหมือง เมื่อมิได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย ตามความในมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 โจทก์จึงหามีสิทธิทำเหมืองเสมือนผู้ถือประทานบัตรตามที่บัญญัติในบทมาตรานี้ไม่ สิทธิทำเหมืองยังเป็นของ ช. ผู้เดียว ที่โจทก์เข้าทำเหมืองเป็นเพียงเข้าทำโดยอาศัยสิทธิของ ช. หากมีการโต้แย้งขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของ ช. หาใช่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่าการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับ ช.ข้างต้านระบุให้โจทก์เป็นตัวแทนมีสิทธิได้รับบำเหน็จ แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยแจ้งให้ ช. ระงับการทำเหมืองตามประทานบัตรไว้กับแจ้งให้ ช. ส่งประทานบัตรคืน จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากการทำเหมืองตามสัญญาดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตรอันเป็นสิทธิของ ช. มิได้กระทำต่อสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จของโจทก์ดังโจทก์อ้าง จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของโจทก์ ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายจากรัฐบาลเนื่องจากทางการเพิกถอนประทานบัตรของ ช. แล้ว คำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นคำสั่งในทางบริหาร ไม่ใช่กฎหมาย ศาลจึงจะยกมาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และโจทก์มีอำนาจฟ้องมิได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำเหมือง: การมอบอำนาจและการรับช่วงทำเหมือง ไม่ใช่การโอนประทานบัตร ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้อง
ช. เป็นผู้ถือประทานบัตร จึงเป็นผู้มีสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตรการที่ ช. ทำหนังสือมอบอำนาจตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจทำการแทนในการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติแร่ ในกิจการที่ระบุไว้ เป็นเพียงการตั้งตัวแทนเพื่อติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น สิทธิทำเหมืองแร่ยังเป็นของ ช. ส่วนการที่ ช. ทำสัญญารับเงินค่าตอบแทนแล้วมอบให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการขุดแร่ ขายแร่ได้ตามอายุประทานบัตรแต่ผู้เดียว โดยให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิและใช้สิทธิของตนได้โดยพลการนั้น มิใช่การโอนประทานบัตร แต่เป็นการให้โจทก์รับช่วงการทำเหมือง เมื่อมิได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย ตามความในมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 โจทก์จึงหามีสิทธิทำเหมืองเสมือนผู้ถือประทานบัตรตามที่บัญญัติในบทมาตรานี้ไม่สิทธิทำเหมืองยังเป็นของ ช. ผู้เดียว ที่โจทก์เข้าทำเหมืองเป็นเพียงเข้าทำโดยอาศัยสิทธิของ ช. หากมีการโต้แย้งขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของ ช. หาใช่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่าการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับ ช. ข้างต้น ระบุให้โจทก์เป็นตัวแทนมีสิทธิได้รับบำเหน็จ แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยแจ้งให้ ช. ระงับการทำเหมืองตามประทานบัตรไว้กับแจ้งให้ ช. ส่งประทานบัตรคืน จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากการทำเหมืองตามสัญญาดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตรอันเป็นสิทธิของ ช. มิได้กระทำต่อสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จของโจทก์ดังโจทก์อ้าง จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของโจทก์ ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายจากรัฐบาลเนื่องจากทางการเพิกถอนประทานบัตรของ ช. แล้ว คำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นคำสั่งในทางบริหารไม่ใช่กฎหมาย ศาลจึงจะยกมาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และโจทก์มีอำนาจฟ้องมิได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย