พบผลลัพธ์ทั้งหมด 112 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุยาเสพติดเพื่อใช้เอง ไม่ถือเป็นความผิดฐานผลิต หากไม่มีเจตนาจำหน่าย
แม้ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 จะบัญญัติว่า การผลิตให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุด้วยก็ตาม แต่โทษฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 นั้น มาตรา 65 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตเท่ากับโทษฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับ จึงย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามความร้ายแรงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมจากการกระทำความผิดโดยการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไม่ว่าด้วยการเพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป หรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการกระทำที่จะเกิดอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของยาเสพติดให้โทษหรือเป็นการทำให้ยาเสพติดให้โทษนั้นแพร่หลายง่ายขึ้น กฎหมายจึงต้องกำหนดโทษสูง เมื่อความมุ่งหมายของกฎหมายเป็นเช่นนี้ คำว่า "การแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุ" ในมาตรา 4 จึงต้องหมายถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุที่เป็นอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงทำนองเดียวกับการเพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป หรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลโดยทั่วไปเป็นต้น สำหรับคดีนี้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 เมื่อข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ความว่า จำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่บุคคลทั่วไป นอกจากนั้นยังปรากฏว่าจำเลยต่างติดยาเสพติดให้โทษ จึงอาจเป็นดังที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนเพื่อความสะดวกในการใช้ของตนเอง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เท่านั้น ซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุยาเสพติดเพื่อใช้เอง ไม่ถือเป็นผลิตยาเสพติด หากไม่มีเจตนาจำหน่าย
การผลิตโดยการแบ่งบรรจุตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา4ต้องเป็นการแบ่งบรรจุที่เป็นอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงทำนองเดียวกับการเพาะปลูกทำผสมปรุงแปรสภาพเปลี่ยนรูปหรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เช่นการบรรจุเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลโดยทั่วไปการที่จำเลยแบ่งบรรจุเพื่อความสะดวกในการใช้เสพของตนเองไม่เป็นการผลิตตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่าจำเลย ผลิตยาเสพติด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองศาลย่อมลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้ายเพราะความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองเป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุยาเสพติดเพื่อใช้เอง ไม่ถือเป็นความผิดฐานผลิต หากไม่มีเจตนาจำหน่าย
แม้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522มาตรา4จะบัญญัติว่าการผลิตให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุด้วยก็ตามแต่โทษฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1นั้นมาตรา65วรรคหนึ่งกำหนดให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตเท่ากับโทษฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา66วรรคหนึ่งกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับจึงย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามความร้ายแรงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมจากการกระทำความผิดโดยการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1ไม่ว่าด้วยการเพาะปลูกทำผสมปรุงแปรสภาพเปลี่ยนรูปหรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เป็นการกระทำที่จะเกิดอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงเพราะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของยาเสพติดให้โทษหรือเป็นการทำให้ยาเสพติดให้โทษนั้นแพร่หลายง่ายขึ้นกฎหมายจึงต้องกำหนดโทษสูงเมื่อความมุ่งหมายของกฎหมายเป็นเช่นนี้คำว่า"การแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุ"ในมาตรา4จึงต้องหมายถึงการแบ่งบรรจุหรือการรวมบรรจุที่เป็นอันตรายแก่สังคมอย่างร้ายแรงทำนองเดียวกับการเพาะปลูกทำผสมปรุงแปรสภาพเปลี่ยนรูปหรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เช่นการแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลโดยทั่วไปเป็นต้นสำหรับคดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176เมื่อข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ความว่าจำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่บุคคลทั่วไปนอกจากนั้นยังปรากฏว่าจำเลยต่างติดยาเสพติดให้โทษจึงอาจเป็นดังที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนเพื่อความสะดวกในการใช้ของตนเองการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1เท่านั้นซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท1ที่โจทก์ฟ้องนั่นเองศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2924/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผลิตกระดาษลูกฟูกจากกระดาษคราฟท์ ไม่ถือเป็นการนำกระดาษมาทำในสภาพเดิม จัดเป็นสินค้าเบ็ดเตล็ดประเภทกระดาษ
การที่โจทก์ซื้อกระดาษคราฟทมาทำเป็นกระดาษลูกฟูกโดยการนำกระดาษคราฟท 1 หรือ 2 แผ่น เข้าเครื่องอัดให้เป็นลอนที่เรียกว่าลูกฟูกแล้วนำกระดาษคราฟทอีก 2 หรือ 3 แผ่น มาทากาวติดด้านบนด้านล่างและระหว่างกลางเป็นกระดาษลูกฟูกชนิด 3 ชั้น หรือ 5 ชั้น เป็นการนำกระดาษคราฟทธรรมดามาประกอบหรือแปรรูป หรือแปรสภาพเป็นกระดาษลูกฟูกขึ้นใหม่ ฟังได้ว่าเป็นการผลิตกระดาษลูกฟูกตามมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้วมิใช่เป็นการนำกระดาษมาทำเป็นกระดาษในสภาพเดิม ทั้งโจทก์ขายกระดาษลูกฟูกที่ผลิตขึ้นนี้ให้แก่บุคคลภายนอกไปเพื่อทำเป็นกล่องกระดาษหรืออื่น ๆ ไม่เพียงแต่โจทก์จะนำมาผลิตเป็นกล่องกระดาษลูกฟูกจำหน่ายเท่านั้น กรณีที่จะเป็นเครื่องใช้หรือของใช้ใด ๆ ในหมวด 5 (2) ตามบัญชีที่ 3 ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54)พ.ศ.2517 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 และ 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 156)พ.ศ.2528 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น ก็ต่อเมื่อโจทก์ซื้อกระดาษลูกฟูกมาผลิตเป็นกล่องกระดาษลูกฟูกขึ้นอีกต่างหากเท่านั้น สินค้าของโจทก์จัดเป็นสินค้าเบ็ดเตล็ดประเภทกระดาษทุกชนิด เข้าในหมวด 8 (9) บัญชีที่ 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกา ฯ (ฉบับที่ 54) พ.ศ.2517 ที่ได้แก้ไขใหม่ ซึ่งมิได้รับการลดอัตราภาษีการค้าตามพระราช-กฤษฎีกานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานผลิตและครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย ความร่วมมือทางอาญา และการลดโทษสำหรับผู้กระทำผิดอายุไม่เกิน 17 ปี
จำเลยที่2เป็นภริยาของจำเลยที่3พักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับจำเลยที่1และที่3ในลักษณะถาวรมิใช่ไปๆมาๆจำเลยที่2ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับจำเลยที่3ก่อนเกิดเหตุประมาณ2เดือนโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่3ประกอบอาชีพอื่นอันจะมีรายได้มาเลี้ยงดูจำเลยที่2ได้จำเลยที่2ย่อมรู้ถึงพฤติกรรมของจำเลยที่3เป็นอย่างดีหากไม่มีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่1และที่3แล้วก็ไม่น่าอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับจำเลยที่1และที่3เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่2ได้ขณะถือถุงกระดาษบรรจุเฮโรอีน100หลอดนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่1ขับเพื่อนำไปส่งให้สายลับที่ล่อซื้อกับค้นพบเฮโรอีนอีก135หลอดถุงพลาสติกเปล่าตราสิงโตคู่เกาะลูกโลกซึ่งมีคราบเฮโรอีนติดอยู่2ใบและหลอดพลาสติกเปล่า462หลอดซึ่งเป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับบรรจุเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนของจำเลยที่1ภายในบ้านหลังนี้ด้วยในชั้นตรวจค้นจับกุมจำเลยที่2มิได้โต้เถียงว่าตนมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับเฮโรอีนของกลางแต่อย่างใดดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยที่2ร่วมกับจำเลยที่1และที่3ผลิตเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายและมีเฮโรอีนของกลางซึ่งมีจำนวนเกิน100กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เฮโรอีนที่จำเลยที่2ร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเฮโรอีนจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยที่2จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา91ไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้อีกทั้งเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่1และที่3ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5857/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานผลิตและมีแอมเฟตามีนในครอบครอง โดยพิจารณาเจตนาและคุณสมบัติของจำเลย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 3 เป็นบุตรเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่พบของกลาง เครื่องมือใช้ผลิตแอมเฟตามีน 27 รายการ และค้นบ้านเลขที่ 377 ซึ่งอยู่ห่างไป 500 เมตรพบจำเลยที่ 2 ในบ้านดังกล่าวพบของกลางน้ำยาและอุปกรณ์การผลิตจำนวนมากยาม้าหรือแอมเฟตามีนที่ผลิตแล้ว 180 เม็ด ส่วนอุปกรณ์เช่น บล๊อกปั๊มยี่ห้อยาม้าค้นได้ที่ใต้ฟูกในห้องนอน บ้านไม่มีเลขที่กับบ้านเลขที่ 377 เป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การว่า ผู้นำเครื่องมือผลิตยาม้ามาไว้ในบ้านดังกล่าวนั้นคือนายตี๋เพื่อนของจำเลยที่ 1 และได้ผลิตยาม้าไปแล้วครั้งหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2รู้เห็นยินยอมในการที่นายตี๋นำเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตยาม้าหรือแอมเฟตามีนมาทำการผลิตในบ้านของตน รวมทั้งแอมเฟตามีนที่ผลิตเป็นเม็ดแล้วก็เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนและร่วมกันมีแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง
จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ยังอยู่ในอำนาจการปกครองของจำเลย-ที่ 1 และที่ 2 บิดามารดา และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงใจร่วมกับนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนในบ้านดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำการผลิตแอมเฟตามีนตามฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับโดยเพิ่มเติม มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่งห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2แยกจากเดิม ซึ่งบัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 และแก้ไขโทษปรับตามขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจากปรับห้าแสนบาท เป็นปรับสี่แสนบาท ถือว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้บทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้มาปรับแก่คดีของจำเลยทั้งสอง ตาม ป.อ.มาตรา 3 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ.มาตรา 78 เห็นสมควรนำมาเป็นเหตุลดโทษแก่จำเลยที่ 2 แล้วก็ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งคดีได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยได้
จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ยังอยู่ในอำนาจการปกครองของจำเลย-ที่ 1 และที่ 2 บิดามารดา และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงใจร่วมกับนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนในบ้านดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำการผลิตแอมเฟตามีนตามฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับโดยเพิ่มเติม มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่งห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2แยกจากเดิม ซึ่งบัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 และแก้ไขโทษปรับตามขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจากปรับห้าแสนบาท เป็นปรับสี่แสนบาท ถือว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้บทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้มาปรับแก่คดีของจำเลยทั้งสอง ตาม ป.อ.มาตรา 3 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ.มาตรา 78 เห็นสมควรนำมาเป็นเหตุลดโทษแก่จำเลยที่ 2 แล้วก็ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งคดีได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5857/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานผลิตและครอบครองยาเสพติด (แอมเฟตามีน) โดยเจตนาและมีส่วนร่วม รวมถึงการพิจารณาโทษตามกฎหมายแก้ไขใหม่
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 3เป็นบุตร เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่พบของกลาง เครื่องมือใช้ผลิตแอมเฟตามีน 27 รายการ และค้นบ้านเลขที่ 377 ซึ่งอยู่ห่างไป 500 เมตร พบจำเลยที่ 2 ในบ้านดังกล่าวพบของกลางน้ำยาและอุปกรณ์การผลิตจำนวนมาก ยาม้าหรือแอมเฟตามีนที่ผลิตแล้ว 180 เม็ด ส่วนอุปกรณ์เช่น บล๊อกปั๊มยี่ห้อยาม้าค้นได้ที่ใต้ฟูก ในห้องนอน บ้านไม่มีเลขที่กับบ้านเลขที่ 377 เป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การว่า ผู้นำเครื่องมือผลิตยาม้ามาไว้ในบ้านดังกล่าวนั้นคือนายตี๋เพื่อนของจำเลยที่ 1 และได้ผลิตยาม้าไปแล้วครั้งหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นยินยอมในการที่นายตี๋นำเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตยาม้าหรือแอมเฟตามีนมาทำการผลิตในบ้านของตน รวมทั้งแอมเฟตามีนที่ผลิตเป็นเม็ดแล้วก็เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนและร่วมกันมีแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ยังอยู่ในอำนาจการปกครองของจำเลยที่ 1 และที่ 2 บิดามารดา และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1และที่ 2 ในบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงใจร่วมกับนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนในบ้านดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำการผลิตแอมเฟตามีนตามฟ้อง ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มีพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518ออกใช้บังคับโดยเพิ่มเติม มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 แยกจากเดิม ซึ่งบัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 และแก้ไขโทษปรับตามขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจากปรับห้าแสนบาท เป็นปรับสี่แสนบาท ถือว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้บทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้มาปรับแก่คดีของจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรนำมาเป็นเหตุลดโทษแก่จำเลยที่ 2 แล้วก็ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1ซึ่งคดีได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานผลิตยาเสพติด พิจารณาจากพฤติการณ์การบรรจุและขนส่งยาเสพติด
เจ้าพนักงานตรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดเข่งไม้ไผ่บรรจุกัญชา เป็นของกลางโดยกัญชามีลักษณะเป็นพืชแห้งอัดเป็นแท่งรวม 3 แท่ง และบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่อีก 5 ถุง การที่จำเลยนำกัญชา ทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันและนำมะพร้าววางทับไว้ ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์ เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียง เพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่ เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่ถือว่า เป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำเพื่อสะดวกในการขนส่งยาเสพติด ไม่ถือเป็นการผลิตยาเสพติด
จำเลยนำกัญชา 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันแล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผลิตสินค้าทางภาษีอากร: การแปรรูปลวดเป็นลวดเสียบกระดาษถือเป็นการผลิตและต้องเสียภาษี
ผู้ผลิตตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 77 นั้น รวมถึงการที่ผู้ใดทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ด้วยซึ่งอาจใช้วัตถุดิบของสินค้าเดิมมาทำเป็นสินค้าใหม่โดยไม่แปรเปลี่ยนสภาพของสินค้าเดิมก็ได้ และไม่จำต้องคำนึงว่าสินค้าใหม่นั้นอาจแปรเปลี่ยนกลับคืนมาเป็นสินค้าเดิมได้หรือไม่ การที่โจทก์ใช้ลวดซึ่งเป็นสินค้าเดิมที่โจทก์ซื้อมาเข้าเครื่องปั๊มออกมาเป็นลวดเสียบกระดาษซึ่งเป็นสินค้าใหม่ โดยลวดซึ่งเป็นวัตถุดิบนั้นยังมีสภาพเป็นลวดเช่นเดิมอยู่เพียงแต่ใช้เครื่องปั๊มตัดและดัดงอให้อยู่ในสภาพเป็นของใช้เสียบกระดาษแล้วนำไปจำหน่าย ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลวดเสียบกระดาษ คำว่า "ของใช้" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525หมายถึง "ของสำหรับใช้" เป็นที่เข้าใจของคนทั่ว ๆ ไปว่าประชาชนทั่วไปที่มีของนั้นอยู่สามารถนำของนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยลำพังไม่ต้องนำไปประกอบกับของสิ่งอื่นเสียก่อน ลวดเสียบกระดาษที่พิพาทผู้ใดมีอยู่ในความครอบครองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยลำพัง จึงเป็นของใช้ตามบัญชี 1 หมวดที่ 9 ท้ายพระราชกฤษฎีกา ออกตามความใน ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 ลวดเสียบกระดาษผลิตจากโลหะเคลือบจึงเป็นของใช้ผลิตจากโลหะเคลือบอันเข้าลักษณะสินค้าอื่น ๆ ในหมวด 9 บัญชีที่ 1 ท้าย พระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวแต่โจทก์ผลิตขายในราชอาณาจักร จึงต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ9 ของรายรับ